อารมณ์ของการเจริญสติ

ภาค ๑ อารมณ์สมมติ

ต้องรู้ รูป-นาม รู้ รูปทำ-นามทำ รู้ รูปโรค-นามโรค รูปโรค-นามโรค มี ๒ อย่าง คือ โรคทางกาย เจ็บหัวปวดท้อง เป็นบาดแผล ต้องไปหาหมอที่โรงพยาบาล โรคทางใจ คือ โทสะ โมหะ โลภะ ต้องอาศัยการเจริญสติวิธีนี้

แล้วต้องรู้ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา

แล้วต้องรู้ สมมติ สมมติอะไรทั้งโลกรู้ให้จบ

แล้วต้องรู้ ศาสนา รู้ พุทธศาสนา ศาสนา หมายถึงตัวบุคคลทุกคนไม่ยกเว้น ศาสนาจึงแปลว่าคำสั่งสอนของท่านผู้รู้ รู้พุทธศาสนา พุทธะ แปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรม คือตัวสติ ตัวสมาธิ ตัวปัญญา นี้เอง จึงให้เจริญปัญญา

แล้วต้องรู้ บาป รู้ บุญ บาป คือ มืด โง่ ไม่รู้อะไรนั่นแหละ บุญ คือ ฉลาด รู้ รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง คนใดไม่รู้ชื่อว่าคนนั้นยังไม่มีบุญ

จบภาคต้น มันจะเป็นอุปสรรคที่ตรงนี้ เพราะว่าไปติดความรู้ของ วิปัสสนู วิปัสสนูมันรู้ออกไปนอกตัวไม่มีสิ้นจบ เราต้องถอนออกมา ไม่ต้องเข้าไปในความคิด

ภาค ๒ อารมณ์ปรมัตถ์

ให้เอาสติมาดูความคิด มันคิดให้รู้ ให้เห็น ให้เข้าใจ ให้สัมผัสได้ คิดปุ๊บตัดปั๊บทันที ทำเหมือนแมวจับหนู หรือเหมือนนักมวยขึ้นเวที ต้องชกทันที ไม่ต้องไหว้ครู แพ้ชนะเป็นเรื่องของนักมวยต้องชกทั้งนั้น ไม่ต้องรอใครทั้งนั้น หรือเหมือนกับขุดบ่อน้ำ เมื่อเจอน้ำแล้วเป็นหน้าที่ที่จะต้องวิดตม วิดเลน วิดน้ำออกให้หมด น้ำเก่าก็ตักออกให้หมด น้ำใหม่ก็ตักออกให้หมด บัดนี้น้ำใหม่ที่อยู่ข้างในจะออกมา เราต้องกวนปากบ่อ ล้างปากบ่อ ล้างตมล้างเลนเหล่านั้น ทำบ่อยๆ น้ำจะสะอาดขึ้นเอง เมื่อน้ำสะอาดแล้ว อะไรตกลงในบ่อ จะรู้ จะเห็น จะเข้าใจได้ทันที การตัดความคิดออกก็เช่นเดียวกัน ตัดได้ไวเท่าใดยิ่งดีเท่านั้น

แล้วให้เราเห็น วัตถุ เห็น ปรมัตถ์ เห็น อาการ วัตถุ หมายถึง ของที่มีในโลก ทุกสิ่งทุกอย่างในตัวคนและจิตใจของคนและสัตว์ ปรมัตถ์ หมายถึง ของที่มีอยู่จริง กำลังเห็นอยู่ มีอยู่ เป็นอยู่ เฉพาะหน้า สัมผัสได้ด้วยใจ อาการ หมายถึง การเปลี่ยนแปลง สมมติน้ำสีมีเต็มกระป๋อง เดิมคุณภาพดีร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าเอาไปย้อมผ้า มันจะติดเนื้อผ้าไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ เมื่อเรารู้ เราเห็น สัมผัสได้ทางจิตใจ น้ำสีปริมาณเต็มกระป๋องเหมือนเดิมแต่คุณภาพเสื่อมไปแล้ว เอาไปย้อมผ้าจะไม่ติดเนื้อผ้าอีกเลย อันนี้ต้องเห็น ต้องรู้จริงๆ

แล้วเห็น โทสะ โมหะ โลภะ

แล้วให้เห็นเวทนา เห็นสัญญา เห็นสังขาร เห็นวิญญาณ เห็นรู้ สัมผัสได้ เข้าใจจริงๆ เรื่องนี้ไม่ต้องสงสัย

ตอนนี้จะเป็น ปีติ เพียงเล็กน้อย ปีติจึงเป็นอุปสรรคในการปฏิบัติธรรมเบื้องสูง เราไม่ต้องข้องแวะกับปีตินั้น เราต้องมาดูความคิดนี้เป็นอารมณ์ปรมัตถ์ขั้นต้นของการเจริญสติแบบนี้ของผู้มีปัญญา

ให้ดูความคิดต่อไป มันจะปรากฎมีความรู้ หรือญาณ หรือ ปัญญาญาณเกิดขึ้น

เห็น รู้ เข้าใจ กิเลส ตัณหา อุปาทาน กรรม ฉะนั้นความยึดมั่นถือมั่นจะจืดลง คลายลง จางลง เหมือนกับน้ำสีที่ไม่มีคุณภาพ ย้อมผ้าจะไม่ติด

ก็จะเป็นปีติขึ้นมาอีก ไม่ต้องข้องแวะกับปีตินั้น ให้ถอนความพอใจและไม่พอใจออกเสีย

ให้ดูความคิดต่อไป ดูจิตใจที่กำลังนึกคิดอยู่ มันจะมีญาณชนิดหนึ่งปรากฎเกิดขึ้น เห็น รู้ เข้าใจ ศีล ศีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ หรือ อธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา อธิปัญญาสิกขา ขันธ์ แปลว่ารองรับ หรือต่อสู้ สิกขา แปลว่า บดให้ละเอียด หรือถลุงให้หายไป

ศีล จึงเป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่างหยาบ กิเลสอย่างหยาบคือ (ขั้นที่ ๑) โทสะ โมหะ โลภะ นี่เอง (ขั้นที่ ๒) กิเลส ตัณหา อุปาทาน กรรม เมื่อโทสะ โมหะ โลภะ กิเลส ตัณหา อุปาทาน กรรม จืดจาง คลายไปแล้ว ศีลจึงปรากฏ

สมาธิ เป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่างกลาง กิเลสอย่างกลางคือ ความสงบ คือเห็น รู้ เข้าใจ จำพวก (ขั้นที่ ๓) กามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ เพราะกิเลสเหล่านี้เป็นกิเลสอย่างกลาง ทำให้จิตใจสงบ

อันนี้เป็นอารมณ์หนึ่งของการเจริญสติแบบนี้ เมื่อรู้อย่างนี้ เห็นอย่างนี้ มันจะไปรู้การให้ทาน รักษาศีล ทำกรรมฐานอีกด้วย ทุกแง่ทุกมุม

แล้วมันจะเกิด ญาณปัญญา ขึ้นภายในจิตใจ

(ขั้นที่ ๔) รู้การทำชั่วด้วยกาย เป็นบาปกรรมอย่างไร ถ้านรกมีจริงจะไปตกนรกขุมไหน

รู้การทำชั่วด้วยวาจา เป็นบาปกรรมอย่างไร ถ้านรกมีจริงจะไปตกนรกขุมไหน

รู้การทำชั่วด้วยใจ เป็นบาปกรรมอย่างไร ถ้านรกมีจริงจะไปตกนรกขุมไหน

รู้การทำชั่วด้วยกาย วาจา ใจ พร้อมกัน เป็นบาปกรรมอย่างไร ถ้านรกมีจริงจะไปตกนรกขุมไหน

ตรงกันข้าม รู้การทำดีด้วยกาย เป็นบุญกุศลอย่างไร ถ้าสวรรค์นิพพานมีจริงจะไปอยู่สวรรค์นิพพานชั้นไหน

รู้การทำดีด้วยวาจา เป็นบุญกุศลอย่างไร ถ้าสวรรค์นิพพานมีจริงจะไปอยู่สวรรค์นิพพานชั้นไหน

รู้การทำดีด้วยใจ เป็นบุญกุศลอย่างไร ถ้าสวรรค์นิพพานมีจริงจะไปอยู่สวรรค์นิพพานชั้นไหน

รู้การทำดีด้วยกาย วาจา ใจ พร้อมกัน เป็นบุญกุศลอย่างไร ถ้าสวรรค์นิพพานมีจริงจะไปอยู่สวรรค์นิพพานชั้นไหน

จบอารมณ์ของการเจริญสติวิธีนี้ มันจะเป็นอย่างมหัศจรรย์และยิ่งใหญ่ที่สุดที่มีอยู่ในจิตใจของคนทุกคนไม่ยกเว้น ถ้าหากยังไม่รู้ในขณะนี้ จวนจะหมดลมหายใจต้องรู้แน่นอนที่สุด คนที่เจริญสติ เจริญปัญญา มีญาณรู้ คนที่ไม่ได้เจริญสติ ไม่ได้เจริญปัญญา จวนจะหมดลมหายใจ ก็เป็นเหมือนกัน แต่เขาไม่รู้ เพราะเขาไม่มีญาณ รู้แจ้งเห็นจริง รู้ด้วยญาณปัญญาของการเจริญสติจริงๆ รับรองได้ ท่านว่าถึงที่สุดแล้ว ญาณย่อมมี

ถึงที่สุดแล้ว ญาณก็ย่อมปรากฎขึ้น เมื่อไม่ถึงที่สุดญาณปรากฎไม่ได้ พอดีญาณปรากฎขึ้นมา มันจะขาดออกจากกันทั้งหมด ถอนผมขึ้นมา ดูที่ตรงนี้เลย เออ รากมันมีแค่นี้ ถ้าไม่มีราก อันนี้ก็ไม่มี บัดนี้ คนกินข้าว กินอาหารเข้าไปเลี้ยงร่างกาย อันนี้มันเป็นสภาพสภาวะ

เมื่อเรารู้จักอันนี้ จิตมันจะไม่ไว จิตมันจะไปช้าๆ ไปช้าที่สุด มันจะรู้ขึ้นทันที เออ มันไปไม่ได้ แต่ถึงว่ามันจะคิด มันก็ไปไม่ได้ ถึงมันจะเป็นอะไร มันก็ไปไม่ได้ เพราะมันไปช้า นี่มันจะมาถึงที่ตรงนี้ ญาณย่อมมี เหมือนกับว่าญาณที่ปรากฎขึ้นมา ก็ ญาณย่อมมี ชาติสิ้นแล้ว ภพสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจอื่นไม่มีต่อไปแล้ว มันขาดแล้ว มันขาด เคยพูดให้ฟัง มันขาดออกจากกันนี่นะ มันไม่ถึงกันแล้ว ชาติสิ้นแล้ว ชาติสิ้นก็หมายถึงไม่มีแล้ว ชาติภพไม่มีแล้ว ชาติสิ้นแล้ว ภพสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว คือ การปฏิบัติธรรมก็จบกันที่ตรงนี้ กิจอื่นไม่มีแล้ว ก็ไม่มีกิจธุระที่จะทำ แต่ว่าต้องทำ ทำ ก็ทำอันนี้นี่ ไม่ต้องไปทำอันอื่นไกลแล้วนี่ เรารู้จักแล้ว นรกสวรรค์ เรารู้จักแล้ว บาปบุญ คุณโทษ เรารู้จักแล้ว ผิดถูก เรารู้จักแล้ว จบกัน ก็อยู่อย่างนั้น กินข้าวได้ เดินดิน ไปไหนมาไหน ทำการทำงาน ซื้อขายได้ แต่ไม่มีทุกข์ เท่านั้นเองนี่

คอยระวัง วิปลาส จะเกิดขึ้น ให้มีความรู้สึกตัว อย่าไปติดความสุข หรืออะไรทั้งหมดที่เกิดขึ้น สุขก็ไม่เอา ทุกข์ก็ไม่เอา กลับคืนมาทวนอารมณ์บ่อยๆ ตั้งแต่อารมณ์ของรูป-นามขึ้นไป จนถึงอารมณ์ที่สุดเป็นชั้นๆ ให้รู้จักว่าอารมณ์เป็นขั้นเป็นตอน

รับรองถ้าเจริญสติอย่างถูกต้อง อย่างนานไม่เกิน ๓ ปี อย่างกลาง ๑ ปี อย่างเร็วที่สุด ๑ วันถึง ๙๐ วัน อานิสงส์ไม่ต้องพูดถึง ไม่มีทุกข์จริงๆ

หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
(พระพันธ์ อินทผิว)
พูดที่ สวนยางบ้านคลองเรียน
อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา


( หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ : พลิกโลกเหนือความคิด )