อาจารย์อัญชลี ไทยานนท์

เกิด พ.ศ. ๒๔๘๘ ที่กรุงเทพมหานคร

ได้รับการศึกษาจาก

  • โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา (รุ่น ๒๕)
  • คณะรัฐศาสตร์ (แผนกนิติศาสตร์) รุ่น ๑๘ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • Ecole Bénédict, Neuchâtel, Switzerland
  • Ecole La Fontanelle Des Jeunes Filles,Vevey, Switzerland
  • Université de Grenoble, Grenoble, France
  • Georgetown University (ESL), Washington D.C., U.S.A.

จากประวัติข้อมูลส่วนตัวเพียงเล็กน้อยที่เราได้ทราบจากอาจารย์อัญชลี ทำให้ทราบว่าอาจารย์เป็นบุตรคนเดียวของครอบครัวที่อบอุ่น มีการศึกษาและฐานะดี อาจารย์เล่าว่า แม้กระนั้นอาจารย์ก็ยังมีความทุกข์ อาจารย์ทุกข์เพราะความคิด ในขณะนั้นอาจารย์ก็คงเหมือนกับเราๆท่านๆ ทุกคนที่ไม่รู้ว่าทุกข์เพราะอะไร ทำไมจึงทุกข์ และจะจัดการกับมันได้อย่างไร จนกระทั่งอาจารย์ได้มาพบหนังสือ “สว่างที่กลางใจ” ของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ ในส่วนนี้อาจารย์ได้กรุณาเล่าให้พวกเราฟังอย่างละเอียดบนเส้นทางธรรม ของท่าน ทางเว็บไซต์จึงขออนุญาตถอดคำพูดจากการบันทึกเสียงในคราวที่ได้มีโอกาสสัมภาษณ์อาจารย์มาลงไว้


vdo003.mp3

ตัวดิฉันเองก็ไม่ทราบว่าตัวเองเข้ามาสู่เส้นทางธรรมได้ยังไง เพราะว่าเป็นคนที่ไม่เคยสนใจเรื่องการไปวัดไปวา เรื่องการให้ทาน รักษาศีล ทำบุญ หรือปฏิบัติธรรม ไม่เคยอยู่ในสมอง ไม่เคยอยู่ในหัวคิดเลย แล้วก็โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ใช่ผู้แสวงหา ไม่เคยรู้เรื่องการปฏิบัติธรรมแม้แต่นิดเดียว แต่ว่าเผอิญโชคดีมากที่ได้รู้จักหลวงพ่อจากหนังสือ”สว่างที่กลางใจ” ซึ่งมีคนเอามาให้คุณพ่อ ๒ เล่ม คือ เล่ม ๑ และเล่ม ๒ และคุณพ่อก็ไม่ได้อ่าน ดิฉันก็ชอบเข้าไปหาหนังสืออ่านในห้องคุณพ่อ เพราะว่ามีหนังสือเยอะมาก เผอิญได้เห็นหนังสือ”สว่างที่กลางใจ” ก็เลยลองหยิบมาพลิกๆ อ่าน พออ่านไปแล้วก็รู้สึก น่าสนใจมาก ก็เลยค่อยๆ อ่าน ค่อยๆ ทำความเข้าใจ ไม่ได้อ่านแบบเลยไปเลย คือทำความเข้าใจทุกประโยค ก็เลยเริ่มเข้าใจ แล้วก็เป็นหนังสือธรรมะ เป็นหนังสือทางพุทธศาสนาเล่มแรกที่อ่านแล้วอยากอ่านต่อ ไม่เบื่อ ไม่อยากวาง พออ่านจบทั้งสองเล่มก็เลยไปหาซื้อเล่ม ๓ ได้ที่ ร้านไกรวัลย์ของคุณวุฒิชัย และก็ ได้รับคำแนะนำให้ฟังเทปของหลวงพ่อด้วย ดิฉันก็จะไปซื้อหนังสือและก็เทปที่นั่นเป็นประจำ

จนกระทั้งวันหนึ่งคุณวุฒิชัยบอกว่ามีญาติธรรมผู้หญิงคนหนึ่งกำลังจะเข้าวัดสนามใน แกก็ถามว่าดิฉันอยากพบหลวงพ่อใช่ไหม วันนี้หลวงพ่ออยู่ที่วัดสนามใน ถ้าอยากไปก็ให้ไปพร้อมกับญาติธรรมผู้นั้น ดิฉันก็เลยตัดสินใจเดี๋ยวนั้นเลย ไปวัดสนามในพร้อมกับญาติธรรมผู้นั้น พอไปถึงวัดสนามใน ตอนนั้นหลวงพ่อกำลังจำวัดอยู่เพราะว่าเป็นเวลาบ่ายแล้ว เนื่องจากท่านอาพาธ แต่พอญาติธรรมผู้นั้นไปเคาะหน้าต่าง ดิฉันก็ห้ามว่า ”อย่าเลย ท่านกำลังนอน” เขาก็บอกว่า”ไม่เป็นไร ท่านไม่ว่าอะไรหรอก” แล้วท่านก็ออกมาพบโดยไม่มีพิธีรีตองใดๆ เลย พอหลวงพ่อออกมา ดิฉันก็ไม่ได้ถามอะไรหลวงพ่อเลย ไม่ได้คุยอะไรกับหลวงพ่อเลย ได้แต่กราบและก็เรียนท่านว่า “หลวงพ่อคือผู้ให้แสงสว่างแก่ชีวิตหนู” นั่งอยู่แค่ ๕ นาที ดิฉันก็ลากลับเพราะว่าไม่มีอะไรจะพูด ไม่มีอะไรจะถาม เพราะว่าศรัทธาท่านเต็มที่แล้ว แต่ก็ยังไม่ได้อยากปฏิบัติ ขณะนั้นเป็นปี พ.ศ. ๒๕๒๗ ดิฉันก็อ่านหนังสือหลวงพ่อมาตลอดปีกว่าๆ อ่านทุกวัน ฟังเทปทั้งวันถ้ามีเวลาว่าง จนกระทั่งจำได้หมด เข้าใจหมดว่าหลวงพ่อสอนอะไร แต่ที่ อือ.. ไม่ได้คิดจะทำความเข้าใจคืออารมณ์วิปัสสนา แต่จับหลักของท่านได้ว่าท่านสอนอะไร

พอถึงวันที่ ๒ ตุลา ๒๕๒๘ ดิฉันก็ได้เข้าไปวัดสนามในอีกครั้งหนึ่ง เพราะว่าช่วงก่อนหน้านั้นมีความรู้สึกว่า ทั้งอ่านหนังสือและฟังเทปของหลวงพ่อจนอิ่มตัว เข้าใจและก็ศรัทธาหลวงพ่อเต็มเปี่ยมแล้ว จนกระทั่งมันอยากปฏิบัติ เพราะคิดว่าอ่านหนังสือไปก็ไม่มีทางรู้ ก็เลยอยากปฏิบัติ ก็ลองทำเองแต่ก็ไม่ได้เรื่อง เพราะว่าไม่รู้เทคนิคที่ละเอียด รู้แต่ว่า ..เคลื่อนไหวก็ให้รู้สึก มันนึกมันคิดก็ให้รู้ ให้เห็นความคิด ก็เลยคิดว่าเข้าไปหาหลวงพ่อดีกว่า ก็โชคดีวันนั้นหลวงพ่ออยู่กรุงเทพฯ อยู่ที่วัดสนามใน เพราะว่าบางครั้งหลวงพ่อก็จะไปๆ มาๆ ระหว่างเมืองเลยกับกรุงเทพฯ แต่วันนั้นหลวงพ่ออยู่พอดี ก็เข้าไปพบท่าน และก็เรียนท่านว่า ”หนูไม่มีอะไรจะถาม หนูอยากปฏิบัติ หนูอยากรู้อย่างที่หลวงพ่อสอน” หลวงพ่อก็ถามว่า รู้วิธีสร้างจังหวะ ๑๕ ท่านั้นหรือยัง ก็บอกว่า ทราบแล้ว หลวงพ่อก็ให้นั่งที่ระเบียงกุฏิ หลวงพ่อนั่นแหละ และหลวงพ่อก็อยู่ใกล้ๆ และท่านก็คอยบอกตลอดว่า “ให้รู้สึกตัวนะ ให้รู้สึกตัวนะ ให้รู้สึกให้ต่อเนื่องนะ” ท่านพูดอยู่แค่นี้ ดิฉันก็ตั้งใจปฏิบัติเพราะว่าหลวงพ่ออุตส่าห์สอนเอง แล้วก็เราก็นั่งทำอยู่ต่อหน้าหลวงพ่อด้วย ก็ต้องตั้งใจ ไม่ใช่ทำเล่นๆ เมื่อหลวงพ่อเห็นว่าดิฉันเป็นสมาธิแล้ว หลวงพ่อก็สอบอารมณ์ พอดิฉันตอบได้ทั้งเรื่องรูป-นาม เรื่องสมมติ หลวงพ่อก็บอกว่า “อ่ะ...พอแล้ว” แล้วหลวงพ่อก็อธิบายเรื่อง วิปัสสนูให้ฟัง ดิฉันก็ถามหลวงพ่อว่า “วิปัสสนูแปลว่าอะไรคะ” หลวงพ่อก็ตอบว่า “วิปัสสนูแปลว่าไม่ใช่วิปัสสนา” แล้วหลวงพ่อก็บอกว่า “หลังจากนี้ก็ให้หัดดูความคิด มันคิดก็ให้เห็นมัน มันคิดก็ให้รู้มัน แล้วก็กลับมาอยู่ที่ความรู้สึกตัวนะ” ท่านก็พูดแค่นี้

แล้วดิฉันก็กลับมาทำเองที่บ้าน คือ ความที่ดิฉันเป็นคนที่ถ้าทำอะไรทำจริง อย่างเช่นอ่านหนังสือหลวงพ่อก็เหมือนกัน อ่านก็อ่านจริงตลอดปีกว่าๆ อ่านอย่างเดียว ตั้งหน้าตั้งตาอ่าน พร้อมกับฟังเทปด้วย เพราะฉะนั้นพอลงมือปฏิบัติ ดิฉันก็ตั้งใจปฏิบัติ คือไม่ได้ทำเล่นๆ ไม่ได้เหลาะๆ แหละๆ เพราะว่าเป็นคนที่ถ้าทำอะไรทำจริง ถ้าไม่ทำก็คือไม่ทำ เพราะฉะนั้นพอกลับมา ดิฉันก็มาปฏิบัติเองที่บ้าน แต่คิดว่าตัวเองโชคดี เนื่องจากทุกอย่างประจวบเหมาะ คือเนื่องจากดิฉันไม่ต้องทำงาน ดิฉันไม่ได้มีปัญหาชีวิต ดิฉันก็เลยไปได้แบบไม่มีอุปสรรค ไม่มีอะไรเป็นอุปสรรคขัดขวางการปฏิบัติ ซึ่งนับว่านี่ก็เป็นโชคดี ดิฉันไม่เที่ยว เพราะฉะนั้น ดิฉันจึงมีเวลาปฏิบัติอย่างเต็มที่ ดิฉันเชื่อหลวงพ่อทุกอย่าง ท่านบอกให้อยู่กับความรู้สึกตัว ดิฉันก็อยู่กับความรู้สึกตัว ท่านให้หัดดูความคิด ดิฉันก็ดูความคิด แล้วที่ดิฉันโชคดีอีกอย่างคือว่าไม่มีพื้นฐานทางธรรมะหรือการปฏิบัติธรรมด้วยวิธีใดๆเลย ไม่รู้จักอะไรเลยแม้แต่อย่างเดียว เพราะฉะนั้นดิฉันก็ทำแบบหลวงพ่อเทียนอย่างเดียว ดิฉันไม่มีอะไรปน เพราะไม่รู้จัก นี่แหละค่ะคือสาเหตุที่หลวงพ่อพูดบอกว่า ”คุณอัญชลีเหมือนผ้าขาว หลวงพ่อให้อะไรก็รับหมด” ดิฉันเลยกลายเป็นคนที่สอนง่ายมาก และดิฉันก็ตั้งอกตั้งใจปฏิบัติ แต่ไม่ใช่เอาจริงเอาจังอย่างซีเรียสมาก แต่ว่า หลวงพ่อบอกอะไรดิฉันก็เชื่อ เชื่อหลวงพ่อทุกอย่าง พอปฏิบัติแล้วดิฉันก็จะไปรายงานผลว่าดิฉันปฏิบัติแล้วดิฉันเข้าใจอะไร อย่างไร มันก็เหมือนกับว่าหลวงพ่อได้สอบอารมณ์เรา แต่ความที่ดิฉันไม่ปนกับอะไรเลย ดิฉันปฏิบัติแบบหลวงพ่อเพียวๆ พร้อมกับการไม่มีประสบการณ์จากการปฏิบัติวิธีอื่น มันทำให้ดิฉันไปเร็ว รวมทั้งชีวิตก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร เพราะฉะนั้นอุปสรรคมันจึงไม่มีเลย แล้วดิฉันก็จะไปหาหลวงพ่อ ไปรายงานตัว ไปบอกว่าเราเข้าใจอะไร ประมาณอาทิตย์ละ ๒-๓ ครั้ง ก็จะไปหาหลวงพ่ออย่างนี้ตลอด และก็จะไปเล่าให้หลวงพ่อฟัง พอปฏิบัติไป ปฏิบัติไป หลวงพ่อก็จะทราบเองว่า ลูกศิษย์ของท่านซึ่งไปรายงานตัวกับท่าน ไปเล่าให้ท่านฟัง ว่าปฏิบัติแล้วรู้อะไร เห็นอะไร เข้าใจอะไร ท่านก็จะจำได้ ว่าใครรู้อะไรถึงตอนไหนแล้ว หลวงพ่อก็จะให้ความเอาใจใส่ ดูแล ซึ่งดิฉันถือว่าดิฉันโชคดีมากๆ ที่ได้มีโอกาสพบ ได้มีโอกาสปฏิบัติธรรม ได้เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อเทียน ได้ท่านเป็นผู้ชี้แนะ สั่งสอน นี่เป็นสี่งที่ล้ำค่าและวิเศษที่สุด โชคดีที่สุดไม่รู้ว่าจะเปรียบกับอะไรได้

พอเรารู้ เราก็จะเห็นว่า โอ้โฮ! หลวงพ่อท่านยิ่งใหญ่ขนาดไหน เพราะว่าถ้าไม่ได้หลวงพ่อเราก็จะไม่มีทางได้รู้ขนาดนี้ ยิ่งเรารู้มากเท่าไหร่ รู้ลึกเท่าไหร่ เราจะยิ่งเห็นคุณค่า ได้เห็นความเป็นผู้รู้ ที่อยู่ในตัวหลวงพ่อ เพราะว่าเรารู้สิ่งนี้ได้เพราะท่าน เรารู้ได้อย่างนี้ แล้วท่านล่ะ ท่านจะขนาดไหน นี่คือสิ่งที่ดิฉันได้ประสบการณ์จากการที่ดิฉันเลือกที่จะเดินตามหลวงพ่อ แล้วดิฉันก็ไม่ได้เสียเวลาเลย เพราะว่าบางคนยังเสียเวลาปฏิบัติวิธีนั้น แล้วก็ไม่เวิร์ค ก็ต้องเปลี่ยน ลองปฏิบัติอีกวิธีหนึ่ง แต่ของดิฉันนี่ โชคดีมากที่หลวงพ่อคืออาจารย์องค์แรกและอาจารย์องค์เดียวของดิฉัน ดิฉันพูดธรรมะ เข้าใจธรรมะได้ และพูดได้อย่างนี้ ก็เพราะดิฉันเดินตามหลวงพ่อ รู้ตามท่าน ซึ่งมันเป็นประสบการณ์ที่ไม่ทราบจะพูดว่ายังไง มันเป็นประสบการณ์ที่เกินกว่าจะหาคำอะไรออกมาอธิบายได้ว่าหลวงพ่อยิ่งใหญ่ขนาดไหนในความรู้สึกของดิฉัน ยิ่งใหญ่อันนี้ไม่ใช่ว่ายิ่งใหญ่ในความหมายโลกๆ นะคะ ความยิ่งใหญ่ของหลวงพ่อคือความเป็นผู้รู้แจ้งเห็นจริง และท่านพาเราเดินตามท่านได้

ดิฉันก็แปลกใจตัวเองเหมือนกันว่าไม่เคยอ่านหนังสือธรรมะ ไม่เคยปฏิบัติธรรมมาก่อน เมื่อได้ปฏิบัติไปแล้ว เดินตามหลวงพ่อแล้ว ช่วงเวลาไม่นานอย่างที่หลวงพ่อเคยบอกว่าอย่างช้าที่สุดไม่เกิน ๓ ปี ต้องรู้ต้องเข้าใจ แต่ไม่ได้หมายความถึง ถึงที่สุดของทุกข์นะคะ หลวงพ่อไม่ได้หมายความว่าถึงที่สุดของทุกข์ภายใน ๓ ปี แต่หมายความว่าจะต้องรู้ เห็น เข้าใจ และทำให้ความทุกข์ลดลง และมันก็จริง จริงอย่างที่ท่านพูด และดิฉันก็อยากจะ ให้คนที่สนใจในการปฏิบัติธรรม ได้ทดลองว่าถ้าปฏิบัติตามคำแนะนำและเทคนิคของหลวงพ่ออย่างถูกต้อง ไม่ปนเปกับอะไร ปฏิบัติแล้ว จะรู้ได้ จะเข้าใจธรรมะได้ เพราะว่าตัวดิฉันเองได้ทดลองมาแล้ว และก็คุ้มที่สุด เพราะเมื่อเข้าใจธรรมะ มันก็เอามาใช้กับชีวิตประจำวันเราได้ เอามาใช้ได้ทั้งทางโลกที่เรายังต้องมีชีวิตอยู่ เพราะว่าไม่ได้ไปบวช ไม่ได้ไปอยู่วัด แต่เอามาใช้ได้กับชีวิตและอุปสรรคปัญหาทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเรา เมื่อเรารู้เอง เห็นเอง เข้าใจเอง เราก็จะเข้าใจตัวเรา ชีวิตจิตใจของเรา และเราก็เอาสิ่งนั้นมาใช้กับชีวิตเราได้โดยที่เราจะไม่ทุกข์ เพราะฉะนั้นคำสอนของหลวงพ่อทุกคำที่ท่านพูด เป็นความจริงทุกอย่าง ดิฉันได้ประโยชน์จากสิ่งนี้ จึงนับว่าดิฉันโชคดีมากที่ชีวิตนี้เกิดมาได้พบ ได้เป็นลูกศิษย์ หลวงพ่อเทียน...


อาจารย์อัญชลี ไทยานนท์ ได้รับเลือกให้เป็น ๑ ใน ๑๕ สตรีดีเด่นทางพุทธศาสนาแห่งโลก เนื่องในวันสตรีสากลแห่งสหประชาชาติ พ.ศ ๒๕๔๗ นอกจากนั้นเมื่อ พ.ศ ๒๕๕๑ อาจารย์ยังได้เขียนหนังสือ “ทวนกระแสความคิด” (ภาค๒) ซึ่งมีเนื้อหาสาระครบถ้วน ทั้งมุมมองของหลวงพ่อเทียน ธรรมะคำสอนของหลวงพ่อเทียน และอารมณ์ของการปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน รวมทั้งธรรมะที่อาจารย์พบเอง เห็นเอง เข้าใจเอง มีคำอธิบายที่มีประโยชน์ ทำให้เข้าใจคำพูดที่ลึก และความหมายที่ยากของหลวงพ่อได้ดีขึ้น อาจารย์ได้เขียนหนังสือเล่มนี้สำหรับผู้ที่สนใจศึกษาและปฏิบัติแนวหลวงพ่อเทียน ให้เราได้เข้าใจและเห็นคุณค่าในธรรมะคำสอนของหลวงพ่อที่ชี้ทางสว่างให้เรา เพื่อไปให้ถึงที่สุดของทุกข์ นั่นคือการทวนกระแสความคิดไปให้ถึงต้นกำเนิดของมัน ทำลายการปรุงแต่งให้ได้ และพบกับ “สภาวะอาการเกิด –ดับ”

ในวันที่รับรางวัล อาจารย์อัญชลีได้ขึ้นกล่าวคำพูดสั้นๆว่า “ที่ดิฉันมีวันนี้ได้ก็เพราะหลวงพ่อเทียน ….. สำหรับมนุษย์เราไม่มีการงานใดสำคัญกว่าการปลดปล่อยตัวเองให้พ้นจากความทุกข์” บัดนี้อาจารย์ได้ทำงานที่สำคัญที่สุดในการเกิดมาเป็นมนุษย์จบลงแล้ว ท่านจึงได้สละเวลาให้พวกเราที่เดินตามมาข้างหลังได้มีโอกาส เรียนถามข้อสงสัยและปัญหาในการปฎิบัติโดยมีเว็บไซต์ปรมัตถสัจจะเป็นสื่อกลาง

การได้มีโอกาสพบและได้เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ ได้ท่านเป็นผู้ชี้ทางให้ ถือว่าเป็นสิ่งที่ล้ำค่าและวิเศษที่สุดในชีวิตของดิฉัน
(อัญชลี ไทยานนท์)