สัจจธรรมคำสอน
โดยทั่วไปคนเราไม่ต้องการความทุกข์เกลียดความทุกข์ แล้วทุกข์เกิดขึ้นได้อย่างไร ทุกข์เกิดขึ้นได้เพราะเราไม่รู้ ทุกข์นั้นไม่ได้มีอยู่ที่ตัวเรา และไม่ได้เกิดอยู่เสมอไป ความมีอยู่จริงแท้แน่นอนนั้น คือ ความปกติ โดยธรรมชาติ จิตใจของคนแต่ละคนอยู่ในภาวะที่ปกติ ในขณะที่เราทำงาน ถ้าทำด้วยความหลงผิดแล้ว เรียกว่าความทุกข์ทั้งนั้น
วันนี้ก็พูดให้เข้าใจ คือฟังแล้วต้องเข้าใจ พูดให้เข้าใจ ฟังให้เข้าใจ คนที่พูดให้เข้าใจ คนที่ฟังไม่เข้าใจก็ได้ผลน้อยหรือมันไม่ได้ผลเลย อย่างที่คนไทยเราถือศาสนาพุทธมานี่หลายร้อยปีแล้ว การกระทำนั้นบางคนก็ดูมันยังมีความทุกข์อยู่มาก ศาสนาพุทธนี่ใครเข้าใจแล้วไม่มีทุกข์ พระพุทธเจ้าสอนแต่เรื่องทุกข์เท่านั้น แต่คนนั้นฟังไม่เข้าใจเท่านั้น คือเมื่อไม่เข้าใจแล้วไปปฏิบัติมันก็ผิดไป
ต้องรู้ รูป-นาม รู้ รูปทำ-นามทำ รู้ รูปโรค-นามโรค รูปโรค-นามโรค มี ๒ อย่าง คือ โรคทางกาย เจ็บหัวปวดท้อง เป็นบาดแผล ต้องไปหาหมอที่โรงพยาบาล โรคทางใจ คือ โทสะ โมหะ โลภะ ต้องอาศัยการเจริญสติวิธีนี้
พระ แปลว่า ผู้สอน เดี๋ยวนี้สอนกันหลายอย่าง สอนให้ ให้ทาน ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า หรือให้สร้างพระพุทธรูปที่นั่นที่นี่ให้ใหญี่สุดในโลก สอนแบบนี้สอนออกนอกตัว แต่ที่จะนำมาเล่าสู่ฟังนี้ ไม่ได้สอนให้ออกไปข้างนอก เพราะสอนออกไปข้างนอกมีคนสอนมากแล้ว
โลกนี้ก็ถูกสมมติขึ้นมาอีกเหมือนกัน สำหรับคนที่รู้แล้ว เขาก็อยู่ในโลกสมมติอันนี้ได้ แต่เขาไม่ติดสมมติใดๆ ในโลกนี้ทั้งหมดเลย ดุจดอกบัวแม้เกิดในโคลนตม แต่เมื่อพ้นน้ำขึ้นมาแล้ว ไม่มีกลิ่นโคลนตมอยู่อีก
พระพุทธเจ้าไม่ได้ห้ามไม่ให้ทำบุญให้ทานรักษาศีล แต่ให้เรารู้จักว่าบุญคืออะไร ทำให้มันถูก พ่อสอนว่า "ทำบุญให้เลือกวัด ตักบาตรให้เลือกพระ"
การปฏิบัติก็ต้องปฏิบัติจริงๆ เดินจงกรมนี่ก็ให้เดินไปเดินมาเฉยๆ ไม่ต้องท่องบ่นหรือภาวนาแต่อย่างใด อย่าไปอยากรู้อยากเห็น มันคิดแล้วก็แล้วไป รู้ทันบ้างไม่ทันบ้างก็ตาม แต่ให้ทำบ่อยๆ มันจะเป็นเอง
เพราะนิพพานมันมีอยู่แล้ว ลักษณะที่จิตใจเฉยๆ มันเหนือทุกข์เหนือสุข เหนือดีเหนือชั่ว มันมีอยู่แล้ว ไม่ใช่บาปไม่ใช่บุญ ไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุข มันเป็นอยู่อย่างนั้น ถ้าหากเราไม่เห็นเดี๋ยวนี้ เวลาจวนจะตายต้องเห็นจริงๆ เพราะความคิดมันคิดไปไม่มีทางหยุด แต่เมื่อเราจะตาย ความคิดมันจะสั้นเข้า สั้นเข้า และหยุดในที่สุด มันเป็นอย่างนั้น
เรื่องนี้ผมรับรองว่าผมรู้จริงๆ ผมจะเอาชีวิตของผมเป็นเดิมพันเพราะว่าความหลุดพ้นมันมีอยู่แล้ว
ทำความรู้ตัวนี้ให้มาก วันนี้รู้ตัวหนึ่งครั้ง หรือสองครั้ง นานๆ เข้าความรู้ตัวก็จะมากขึ้นๆ เมื่อเรารู้ตัวเราที่เป็นวัตถุภายนอกนี้แล้ว เราก็พยายามดูใจเรา เมื่อเรารู้ เราเห็นจิตใจที่มันนึกคิดขึ้นมาแล้ว ดูบ่อยๆ ทำบ่อยๆ มันก็เจริญขึ้น มันคิดก็เห็น มันไม่คิดก็เห็น เมื่อเห็น อันนี้เรียกว่า "มีญาณ" แล้ว
วิธีนี้เป็นวิธีปฏิบัติง่ายๆ แต่ไม่ต้องนั่งหลับตา ถ้าหลับตาแล้วมันจะเป็นมายา ถูกความคิดหลอกลวง ความคิดมันแวบเข้า - แวบออก มันไวที่สุด
ไม่ต้องให้มันปรุง คนที่เข้าไปในความคิดเหมือนกับอยู่ในถ้ำ รู้อยู่ในถ้ำนั้นเอง เราต้องไม่ไปอยู่ในถ้ำไม่ต้องจุดไฟ ออกจากถ้ำมาเลย ออกมาอยู่นอกถ้ำ เราสามารถมองเห็นปากถ้ำได้สบาย อันนี้ก็เหมือนกัน มันคิดปุ๊บ เราออกจากความคิดปั๊บไม่ต้องให้มันปรุงเลย
เพราะคนมีดีเอามาพูด ไม่ใช่คนอวดดี คนอวดดีกับคนมีดี พูดไม่เหมือนกัน คนอวดดีพูดเปะปะลงตมลงโคลน แต่คนมีดีมาพูด พูดแล้วทุกคนต้องเดินตามได้