เมื่อต้องมาย้อนระลึกถึงเวลาช่วงสุดท้ายของชีวิตหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ ทำให้ดิฉันรู้สึกเศร้าและเสียดายที่ไม่ได้อยู่ดูแลท่านอย่างใกล้ชิดจนวาระสุดท้าย เพราะตัวเองมีกิจธุระและงานที่ต้องรับผิดชอบมากเหลือเกิน ซึ่งหลวงพ่อเองก็ทราบและเข้าใจดี บางครั้งหลวงพ่อให้คนโทรศัพท์มาตามให้เข้าไปหาท่านที่วัดสนามใน ถ้าดิฉันว่างก็เข้าไปหาได้ บางครั้งก็ไม่ว่างเป็นเวลาหลายเดือนกว่าจะไปหาท่านได้ บางครั้งหลวงพ่อต้องมาหาเองที่บ้าน

เมื่อหลวงพ่อเข้าโรงพยาบาลสมิติเวชครั้งสุดท้าย ดิฉันได้ไปเยี่ยมท่านครั้งหนึ่ง เมื่อทราบภายหลังว่าท่านออกจากโรงพยาบาลไปอยู่ที่วัดสนามใน และทราบอีกว่าท่านไม่ฉันอาหารเลย ดิฉันก็เป็นห่วงมาก จึงรีบเข้าไปที่วัดสนามในเมื่อวันที่ ๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๑ พอไปถึงกุฏิ เห็นมีโยมนั่งอยู่ที่ระเบียง ๒-๓ คน ประตูห้องเปิดอยู่ มีพระนั่งหันหลังให้ประตู คอยดูแลหลวงพ่อ เมื่อเห็นหลวงพ่อ ดิฉันใจหายวาบ เพราะหลวงพ่อผอมมาก นอนอยู่บนพื้นตัวแบนติดกระดานเลย มีแต่ส่วนศีรษะเท่านั้นที่ดูโต ดิฉันสงสารจนบอกไม่ถูก ได้สอบถามพระที่นั่งเฝ้าหลวงพ่ออยู่ก็ทราบว่า หลวงพ่อไม่ยอมกลับไปพบหมอที่โรงพยาบาลสมิติเวชอีกแล้ว ท่านจะกลับเมืองเลยภายใน ๑-๒ วันนี้ เสียดายที่ดิฉันไม่รู้จักพระรูปนั้น ดิฉันอยากเข้าไปกราบหลวงพ่อใกล้ๆ แต่ถ้าดิฉันเข้าไปโยมที่นั่งอยู่ข้างนอกอีก ๒-๓ คนก็คงอยากเข้าไปด้วย ดิฉันจึงตัดสินใจกราบหลวงพ่อที่หน้าประตูห้อง และบอกพระที่เฝ้าให้เรียนหลวงพ่อว่า “คุณอัญชลีมา”

วันที่ ๙ กันยายน ดิฉันไปที่วัดสนามในอีกครั้ง แต่เดินไปยังไม่ถึงวัด ก็สวนทางกับญาติธรรม ๒-๓ท่านที่เดินออกมาจากวัด และทราบว่าหลวงพ่อเพิ่งออกจากวัดสนามในไปสนามบินดอนเมืองเพื่อกลับจังหวัดเลย หลังจากวันนั้นลูกศิษย์ใกล้ชิดหลายคนต่างเช็คข่าวหลวงพ่อด้วยความเป็นห่วง ดิฉันทราบว่าคุณยุ่น (ลูกศิษย์คนหนึ่งที่สนิทกับหลวงพ่อ) จะเดินทางไปจังหวัดเลยในวันที่ ๑๓ กันยายน และจะไปถึงที่นั่นเวลาประมาณ ๑๗ น. จึงนัดคุณยุ่นให้ไปคอยรับโทรศัพท์ที่บ้านแม่รัตน์เวลา ๑๘.๔๕ น. (สมัยนั้นตามบ้านไม่ค่อยมีโทรศัพท์ มีธุระอะไรกับทับมิ่งขวัญต้องโทรไปที่บ้านแม่รัตน์ ซึ่งเป็นลูกศิษย์ใกล้ชิดและเป็นคนดูแลหลวงพ่อด้วย) พอถึงเวลานัดหมาย ดิฉันจึงโทรศัพท์ไปที่บ้านแม่รัตน์ คุณยุ่นก็คอยอยู่ที่นั่นแล้ว พอเธอรับโทรศัพท์ประโยคแรกที่เธอพูดคือ “หลวงพ่อเสียแล้วเมื่อตอน ๖โมง ๑๕”

ดิฉันได้ไปกราบศพหลวงพ่อเมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน พ.ศ.๒๕๓๑ ซึ่งขณะนั้นได้บรรจุอยู่ในหีบแก้วแล้ว คุณเตรียม อินทผิวได้มอบรูปภาพหลายรูปตั้งแต่ท่านใกล้จะหมดลมหายใจ จนกระทั่งถึงเวลาที่มรณภาพ งานรดน้ำศพ และหลังจากการบรรจุศพแล้ว ดิฉันเองก็ได้ถ่ายไว้หลายภาพเพื่อเป็นอนุสรณ์ ในวันนั้นคณะสงฆ์ได้มอบเงินที่มีผู้บริจาคไว้ให้ใช้ในการดูแลรักษาหลวงพ่อจำนวน ๑๐,๐๐๐ บาทให้ดิฉันเป็นคนเก็บไว้ เพราะไม่ได้ใช้แล้วเนื่องจากหลวงพ่อมรณภาพ หลังจากนั้นก็มีรายย่อยบริจาคเงินทำบุญเข้ามาอีก โดยวัดสนามในให้ดิฉันถือใบอนุโมทนาบัตรไว้เพื่อออกให้ผู้บริจาค ยอดเงินที่ได้รับทั้งสิ้นเป็นเงิน ๑๒๐,๐๐๐ บาท ซึ่งได้เก็บไว้เพื่อก่อตั้งมูลนิธิหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ

ช่วงที่เตรียมงานฌาปนกิจศพหลวงพ่อ คุณสุพนธ์ ชัยวิมลได้รับเลือกให้เป็นประธานจัดงาน และดิฉันได้รับเลือกให้เป็นรองประธานและเหรัญญิก คณะสานุศิษย์ตกลงกันว่าจะจัดงานฌาปนกิจศพหลวงพ่ออย่างเรียบง่าย ดิฉันจึงได้จ้างสถาปนิกให้ออกแบบ model การเรียงไม้เพื่อทำเป็นเมรุเผาศพ ให้เหมือนการเผาศพในสมัยพุทธกาล และจะทำพิธีฌาปนกิจศพที่เกาะพุทธธรรม ซึ่งเป็นสถานที่หลวงพ่อมรณภาพ การที่จัดงานอย่างเรียบง่ายเพราะต้องการให้สอดคล้องกับปฏิปทาของหลวงพ่อเมื่อยามที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ เพราะฉะนั้นการจัดงานอย่างนี้จึงเป็นการเหมาะสม เนื่องจากหลวงพ่อไม่ชอบเรื่องเอิกเกริกและความฟุ่มเฟือย ดิฉันจึงเสนอให้ป้าหนอมพี่สาวของหลวงพ่อเป็นผู้จุดไฟและใส่ไฟแต่เพียงผู้เดียว ในขณะที่สานุศิษย์ทั้งหมดจะนั่งยกมือสร้างจังหวะรอบฌาปนสถานเพื่อเป็นการปฏิบัติบูชา ในเวลานั้นทางการเข้มงวดมากเรื่องการตัดไม้ และการขนไม้ข้ามเขต จึงทำให้ญาติโยมที่จะมาช่วยทำเมรุเผาศพหลวงพ่อมีความวิตกกังวลว่าจะตัดและขนไม้มาไม่ได้ ดิฉันจึงต้องไปกับหลานชายซึ่งเป็นนายตำรวจอยู่ภาคอิสานในขณะนั้น เพื่อประสานงานในการจัดหาไม้มาที่ทับมิ่งขวัญ จังหวัดเลย เป็นกรณีพิเศษ

เมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๒ ดิฉันได้รับโทรเลขจากคุณเตรียม ให้ลงข่าวเลื่อนการฌาปนกิจศพหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ จากวันที่ ๑๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๒ เป็นวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๒ ซึ่งดิฉันก็ได้จัดการไปลงข่าวในหนังสือพิมพ์ตามที่คุณเตรียมได้ขอมา

ประมาณวันที่ ๑๘ หรือ ๑๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๒ ดิฉันได้ขอให้คุณเตรียมหาคนถ่ายวีดีโอสำหรับงานฌาปนกิจศพหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ ไว้ด้วย

วันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๓๒ คุณสุพนธ์และดิฉันได้เดินทางไปถึงทับมิ่งขวัญเวลาประมาณ ๑๔ น.เศษ ขณะนั้นศพหลวงพ่อยังตั้งอยู่ที่ทับมิ่งขวัญ เปิดโอกาสให้พระสงฆ์และญาติโยมมากราบหลวงพ่อเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะเคลื่อนศพลงไปที่เกาะพุทธธรรม เวลา ๑๖.๐๐ น. ขณะนั้นได้เริ่มมีการถ่ายวีดีโอไปบ้างแล้ว เมื่อเคลื่อนศพหลวงพ่อลงมาถึงบริเวณที่จะสร้างเมรุเพื่อประชุมเพลิง ญาติธรรมก็ได้ช่วยกันเรียงไม้ตาม model ที่ให้ไป

เมื่อถึงเวลาประชุมเพลิง คุณเตรียมได้มาเชิญดิฉันให้เข้าไปที่เมรุพร้อมกับคุณเตรียมและป้าหนอม คุณเตรียมให้ดิฉันเป็นผู้จุดไต้แล้วส่งให้ป้าหนอมเป็นผู้จุดไฟประชุมเพลิง เสร็จแล้วดิฉันก็ได้ก้มลงกราบลาหลวงพ่อเป็นครั้งสุดท้ายพร้อมคุณเตรียมและป้าหนอม ขณะนั้นพระสงฆ์และญาติธรรมนั่งยกมือสร้างจังหวะอยู่โดยรอบบริเวณ จนกระทั่งเพลิงมอด หลังจากนั้นคุณเตรียมได้ยื่นวีดีโอเทปซึ่งเพิ่งถอดออกมาจากกล้องเดี๋ยวนั้นเลยให้ดิฉันและพูดว่า “นี่ครับ ของคุณอัญชลี”

วันรุ่งขึ้นตอนสายได้มีการเก็บอัฏฐิ มีญาติโยมไปเก็บอัฏฐิหลวงพ่อเพื่อนำมาเก็บไว้กราบไหว้ คุณสุพนธ์และดิฉันอยู่จนกระทั่งการเก็บอัฏฐิหลวงพ่อเรียบร้อยจึงได้เดินทางกลับกรุงเทพฯ

เพื่อระลึกถึงวันฌาปนกิจศพหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ เมื่อวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ ๒๕๓๒ ดิฉันจึงได้นำดีวีดีภาพงานในวันนั้นซึ่งคุณเตรียม อินทผิวบอกว่า “เป็นลิขสิทธิ์ของคุณอัญชลีแต่เพียงผู้เดียว” ไปตัดต่อให้กระชับเพื่อจะให้ทางเว็บไซต์ปรมัตถสัจจะนำไปเปิดให้ผู้ที่ไม่ได้ไปงานฌาปนกิจศพหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ ได้มีโอกาสชม


อัญชลี ไทยานนท์
๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔
ขันธ์มันมี แต่ไม่มีขันธ์
(หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ)