ไม่ต้องหลับตา

วิธีนี้เป็นวิธีปฏิบัติง่ายๆ แต่ไม่ต้องนั่งหลับตา ถ้าหลับตาแล้วมันจะเป็นมายา ถูกความคิดหลอกลวง ความคิดมันแวบเข้า-แวบออก มันไวที่สุด เมื่อเราคิดไปไหนมาไหน ไม่มีใครจะมาเห็นความคิดของเราได้ มันจึงตรงกับหลักธรรมที่ว่า “สันทิฏฐิโก อันผู้รู้จะพึงเห็นเอง”

“อกาลิโก ไม่ประกอบด้วยกาลเวลา” ไม่ว่าจะเป็นยุคใดสมัยใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นตอนเช้าตอนสาย กลางค่ำกลางคืน เราก็รู้ได้ เพราะคนเรามันคิดอยู่เสมอ เมื่อมีสติเข้าไปรู้ความคิดจะเห็นว่าความคิดนี้ก็เป็นทุกข์

ที่ว่าเห็นทุกขัง–อนิจจัง–อนัตตา นั้น เราต้องเห็นตั้งแต่ของหยาบๆ เสียก่อน เช่น พลิกมือขึ้นคว่ำมือลง ยกมือไปเอามือมา นี่แหละเป็นทุกข์ กะพริบตาก็เป็นทุกข์ มันเป็นธรรมชาติของมันอย่างนั้น แต่เราไม่รู้ จึงเรียก่า ไม่รู้จักทุกข์ อิริยาบถต่างๆ มันบดบังไม่ให้เราเห็นความทุกข์ เหมือนกับคำกล่าวที่ว่า “พระพุทธรูปบังพระพุทธ ตัวหนังสือบังพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ผ้าเหลืองบังพระสงฆ์” ถ้าเราเข้าใจอันนี้ได้ เราก็เข้าใจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ได้จริงๆ ใครจะว่าอย่างไรก็ไม่ได้ไปยึดไปถือคำพูดของคนเหล่านั้น มารู้เฉพาะตัวเอง เมื่อมารู้ตัวเองแล้ว มันจะแก้ปัญหาตัวเองได้ แก้ทุกข์ตัวเองได้

ความทุกข์มี ๔ระดับ คือ กำมือ เหยียดมือ กะพริบตา หายใจเข้า หายใจออก ความคิด ความรู้ก็มี ๔ระดับ คือ รู้จำ รู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง การตรัสรู้หรือความหลุดพ้นก็มี ๔ ระดับ คือ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ อันนี้ไม่ได้จำคำพูดของใครมาพูด รู้เองเข้าใจเองตามแนวที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ และจะต้องปฏิบัติตามวิธีที่กล่าวมาแล้ว ปฏิบัติอย่างอื่นไม่รู้-ไม่เห็น-ไม่เข้าใจเรื่องนี้ ก่อนนี้ผมเองอยากรู้ว่าพุทธศาสนาสอนเรื่องอะไร บาปคืออะไร บุญคืออะไร อยากรู้อยากเห็นอยากเข้าใจเรื่องนี้ เพราะได้ทำบุญให้ทาน รักษาศีล ทำกรรมฐานมาแล้วทุกอย่างแต่ก็ยังไม่เข้าใจ


( หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ : เปิดประตูสัจธรรม )