มีญาณรู้

ดังนั้น จึงให้ทำความรู้ตัวนี้ให้มาก วันนี้รู้ตัวหนึ่งครั้ง หรือสองครั้ง นานๆ เข้าความรู้ตัวก็จะมากขึ้นๆ เมื่อเรารู้ตัวเราที่เป็นวัตถุภายนอกนี้แล้ว เราก็พยายามดูใจเรา เมื่อเรารู้ เราเห็นจิตใจที่มันนึกคิดขึ้นมาแล้ว ดูบ่อยๆ ทำบ่อยๆ มันก็เจริญขึ้น มันคิดก็เห็น มันไม่คิดก็เห็น เมื่อเห็น อันนี้เรียกว่า “มีญาณ” แล้ว

ญาณ แปลว่า รู้ หรือว่ามี ยาน ซึ่งแปลว่า พาหนะ ก็ได้เพราะมันจะค่อยเคลื่อนไปไหลไป เหมือนกับรถที่มุ่งหน้าไปกรุงเทพฯ ทุกคันจะแล่นไปตามถนนที่มีอยู่แล้ว สำคัญแต่ผู้ที่ขับรถจะเอาไปลงคูลงคลองหรือไม่ ถ้าหากคนใดขับรถไม่ดีลงคู ลงคลองไปก็ไม่ถึง ถ้าหากคนใดขับรถดีคอยประคับประคองมันก็ไปถึงได้ หรืออุปมาอีกอย่างหนึ่ง น้ำในห้วยหนองคลองบึงเล็กๆ ตามบ้านเราก็จะไหลลงสู่แม่น้ำโขง น้ำในแม่น้ำโขงก็จะเคลื่อนตัวไปไหลออกสู่ทะเล ทะเลจึงเป็นที่รวมของน้ำ เหมือนกับนิพพานหรือความหลุดพ้นเป็นที่รวมของสติปัญญาของทุกคน เพียงแต่เราจะไปถึงหรือไม่เท่านั้น

การเจริญทางจิตทางใจนี้ใครๆ ก็ทำได้ เพราะคนไทยก็มีชีวิตจิตใจ คนจีนก็มีชีวิตจิตใจ คนฝรั่งหรือคนชาติใดก็มีชีวิตจิตใจ บวชก็มีชีวิตจิตใจ ไม่บวชก็มีชีวิตจิตใจ แต่ต่างกันที่แต่ละคนจะรู้ชีวิตจิตใจหรือไม่เท่านั้น ถ้าหากคนใดรู้ชีวิตจิตใจตนเอง แสดงว่าคนนั้นเข้าใกล้พระพุทธเจ้า เข้าใกล้ธรรม พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ว่า “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต” คำว่าเห็นธรรมะ หรือ เห็นพระตถาคตนั้น บางคนเข้าใจไปตามครูบาอาจารย์ว่า จะต้องเห็นรูปพระพุทธเจ้า หรือเห็นสีเห็นแสงลอยมานั่นเป็นการคาดคิดเข้าใจเอาเอง คนที่เห็นชีวิตจิตใจของตนเองแล้ว มันก็หลอกเอาไม่ได้ ถ้าเห็นสีเห็นแสงเห็นพระพุทธเจ้าลอยมา ชื่อว่าคนนั้นยังไม่ได้เห็นชีวิตจิตใจตัวเอง จึงถูกมันหลอกเอา อันที่มาหลอก ท่านเรียกว่า กิเลส หรืออาสวะ หรือ อวิชชา แปลว่าความไม่รู้ ที่จริงอวิชชานั้นรู้ แต่ไม่รู้ของจริง ถ้ารู้ของจริงแล้วจะไม่ถูกหลอกอีก เพราะเราเห็นเสียแล้ว เหมือนกับผู้ร้ายจะเข้ามาขโมยของในบ้านเรา ถ้าเราคอยดูอยู่และมีอาวุธพร้อมมันก็ขโมยของเราไปไม่ได้


( หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ : เปิดประตูสัจธรรม )