พระคุณของหลวงพ่อ

ดิฉันรู้จักหลวงพ่อจากหนังสือ สว่างที่กลางใจ ซึ่งเป็นหนังสือเกี่ยวกับพุทธศาสนาเล่มแรกที่ดิฉันอ่านแล้ววางไม่ลง จึงได้ติดตามอ่านหนังสือของท่านเกือบทุกเล่ม จนเกิดศรัทธาอยากปฏิบัติการเจริญสติตามแนวของท่าน ครั้งแรกดิฉันทดลองปฏิบัติเองตามหนังสือ แต่การปฏิบัติไม่ได้ผลเพราะไม่เข้าใจกลวิธีและเทคนิค ดิฉันจึงได้ไปหาหลวงพ่อที่วัดสนามในเมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๘ และเรียนให้ท่านทราบ ท่านจึงให้ดิฉันนั่งยกมือสร้างจังหวะอยู่กับท่านที่ระเบียงกุฏิของท่าน โดยท่านได้แนะนำวิธีปฏิบัติและกลวิธีที่ถูกต้องให้ พร้อมกันนั้นท่านก็คอยกำกับให้ดิฉันมีสติ-ความรู้สึกตัวอย่างต่อเนื่อง เมื่อปฏิบัติไปได้ ๑ ชั่วโมงเต็ม หลวงพ่อได้ตั้งคำถามทดสอบอารมณ์ดิฉัน ซึ่งดิฉันสามารถรู้และเข้าใจ อารมณ์รูป-นาม ไปจนถึงเรื่องสมมติได้ครบทั้งหมด หลวงพ่อก็บอกให้หยุดพักและอธิบายเรื่องวิปัสสนูให้ฟัง

ดิฉันรู้สึกซาบซึ้งในพระคุณของท่านเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้กรุณาชี้ทางสว่างให้แก่ดิฉัน นับแต่วันนั้นดิฉันก็ถือว่าหลวงพ่อคือผู้ให้ชีวิตใหม่แก่ดิฉัน หลวงพ่อไม่เคยชวนให้ดิฉันไปอยู่ที่วัด แต่กลับบอกให้ไปปฏิบัติเองที่บ้าน ดิฉันปฏิบัติตามคำแนะนำของท่านอย่างเคร่งครัด ซึ่งเป็นผลดีต่อการปฏิบัติเป็นอย่างยิ่ง เพราะไม่เคยออกนอกลู่นอกทาง ดิฉันจดบันทึกลงวันที่ไว้ทุกครั้งที่รู้และเข้าใจสิ่งใหม่ๆ และไปรายงานให้หลวงพ่อทราบ ท่านพยักหน้าและพูดว่า “ทำต่อไป” หลวงพ่อไม่ยอมอธิบายข้อสงสัยเกี่ยวกับธรรมะให้แก่ดิฉันเลย แต่จะบอกว่า “ทำไป แล้วรู้เอง” ซึ่งดิฉันก็เชื่อฟังและปฏิบัติตามเสมอ

ดิฉันกล้ารับรองว่าคำสั่งสอนของหลวงพ่อคือสัจจธรรม หลวงพ่อทำให้คนอย่างดิฉัน (ผู้ไม่เคยสนใจเรื่องศาสนา การทำบุญให้ทาน การรักษาศีล) เห็น รู้ เข้าใจเรื่องชีวิตจิตใจได้ เพราะท่านเป็นผู้รู้จริงอย่างลึกซึ้งด้วยญาณปัญญาที่แหลมคมอย่างยิ่ง ดิฉันคิดว่าเป็นโชคดีอย่างที่สุด ที่เราได้มีโอกาสรู้จักหลวงพ่อ เพราะไม่ทราบว่าอีกกี่ร้อยกี่พันปีจึงจะมีมหาบุรุษเช่นนี้อีก ทุกท่านที่รู้จักหลวงพ่อดีจริงๆ คงเห็นด้วยกับดิฉันที่พูดเช่นนี้ หลวงพ่อดูเหมือนเป็นพระธรรมดาๆ ในสายตาของผู้ที่พบเห็นท่านโดยผิวเผิน หลวงพ่อมีจริยาวัตรที่งดงาม เรียบง่าย แต่มีอุดมการณ์ที่มั่นคง ท่านเป็นเลิศทั้งทางปัญญาและในการอบรมสั่งสอนสิ่งที่คนทั้งหลายเข้าใจว่ายากให้ดูเป็นของง่าย เพราะหลวงพ่อเป็นผู้รู้แจ้งรู้จริง ท่านไม่ได้พูดตามตำรา คำพูดเรื่องธรรมะของหลวงพ่อนั้นทั้งลึกและคม สะเทือนความรู้สึกของผู้ฟังอย่างรุนแรง จนคนทั้งหลายต้องหันมาสนใจท่าน และมีบางคนที่ทนฟังและยอมรับไม่ได้ จนมีปฏิกิริยาในทางต่อต้าน แต่เขาหารู้ไม่ว่าหลวงพ่อเป็นคนซื่อ มีจิตใจบริสุทธิ์ และเต็มไปด้วยความเมตตา จึงได้นำความจริงที่ท่านได้ประสบมาเองพูดให้เราฟัง เพื่อเราจะได้ไม่เสียเวลา เข้าใจผิด และปฏิบัติผิดๆ พระคุณของหลวงพ่อที่มีต่อเพื่อนมนุษย์นั้นมากมายมหาศาล เปรียบเสมือนฟ้าคลุมดิน

หลวงพ่อให้ความสำคัญในการปฏิบัติเป็นอันดับแรก ท่านให้ความสนใจและติดตามการปฏิบัติของลูกศิษย์อย่างใกล้ชิด คอยให้กำลังใจและความช่วยเหลือในยามที่ศิษย์ของท่านมีปัญหาในการปฏิบัติ โดยไม่คำนึงถึงสุขภาพของท่านเองที่ร่วงโรยลงอย่างรวดเร็ว ดิฉันเคยขอร้องให้ท่านพักผ่อน อย่าเดินทางบ่อย เพราะเกรงท่านจะเหนื่อย แต่ท่านตอบว่า “หลวงพ่อมีเวลาน้อย ต้องรีบทำงาน” งานของหลวงพ่อคือการสอนและการอบรมธรรมะ คนใกล้ชิดคงทราบดีว่า ถ้าท่านตั้งใจจะทำอะไรแล้วท่านต้องทำ ท่านไม่เคยเปลี่ยนใจ หลวงพ่อต้องการเผยแผ่ความจริงที่ท่านได้ประสบมาด้วยตัวท่านเอง ให้เพื่อนมนุษย์ทุกชาติ ทุกเพศ ทุกวัย ได้รับรู้ว่าความสุข ความสงบที่พวกเราแสวงหากันนั้นมันไม่ได้อยู่ไกลเลย ขอเพียงแต่ให้เขาหันมาดูตัวเอง ศึกษาที่ตัวเอง เขาก็จะได้พบความสุข ความสงบที่แท้จริง

หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ เป็นทั้งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่ครอบครัวดิฉันให้ความเคารพอย่างสูง คำพูด-คำสั่งสอนของท่านมีเหตุ-มีผลที่โต้แย้งไม่ได้ ท่านยังท้าให้พิสูจน์คำพูดของท่านโดยเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ซึ่งหลายๆ ท่านรวมทั้งดิฉันเองก็ได้พิสูจน์มาแล้วว่ามันเป็นความจริงทุกอย่างตามที่ท่านพูดให้ฟัง หลวงพ่อทุ่มเทเวลาให้แก่การสั่งสอนเป็นอันดับหนึ่ง บัดนี้นามของท่านได้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในแวดวงผู้ปฏิบัติธรรมว่า ท่านคือ ปรมาจารย์แห่งการเจริญสติ

การเจริญสติตามแนวหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภนั้น ผู้ที่ไม่เคยปฏิบัติวิธีอื่นมาก่อน ไม่ติดตำรา ไม่มีอุปาทาน ไม่ยึดมั่นถือมั่นในเรื่องเก่าๆ ปรัมปราจะปฏิบัติได้ผลเร็ว ส่วนผู้ที่เคยปฏิบัติสมถกรรมฐานมาแล้ว มักจะติดวิธีเดิม คือการกำหนด ซึ่งหลวงพ่อเน้นมากเรื่องนี้ ท่านไม่ให้กำหนด แต่ให้มีสติ-รู้สึกตัวและให้รู้ทันความคิด สติคือสิ่งสำคัญที่สุด สติคือตัวนำไปสู่การมีสมาธิ มีปัญญา มีศีล การเจริญสติต้องปฏิบัติให้ต่อเนื่อง เมื่อมีสติเต็มที่จนเป็นมหาสติแล้ว ผู้ปฏิบัติจะพบกับสภาวะที่เรียกว่า มันเป็นของมันเอง มันทำของมันเอง และจะเกิดญาณปัญญาที่เรียกว่าเห็นเอง รู้เอง เข้าใจเอง ควรปฏิบัติให้มีสติรู้ เห็นกาย-ใจอยู่เสมออย่างต่อเนื่อง เมื่อปฏิบัติแล้วเกิดความรู้ ความเข้าใจเพิ่มขึ้นย่อมเกิดปีติ แต่เราควรเจริญสติต่อไปโดยไม่หยุดอยู่ที่ปีตินั้น ไม่ต้องสนใจมัน มิฉะนั้นปีตินี้จะกลายเป็นอุปสรรคขัดขวางการไปถึงที่สุดของทุกข์ เรียกว่า จินตญาณ และปีติขั้นสุดท้ายของการเจริญสติวิธีนี้อาจมีโทษมหันต์ คือ เป็นวิปลาส หรือเข้าใจผิดคิดว่าตนเป็นผู้วิเศษและอาจเสียสติไปในที่สุด ผู้ปฏิบัติควรระวังให้มาก พึงสังวรไว้เสมอว่า อย่าสนใจ/ติดปีติ ให้รู้มัน เห็นมัน เข้าใจมัน เช่นเดียวกับที่เห็นความคิด แล้วเจริญสติต่อไปเรื่อยๆ อยู่กับความรู้สึกตัวเท่านั้นก็จะปลอดภัย

ผู้ปฏิบัติไม่ควรตั้งความหวังไว้ว่าจะต้องรู้ให้ได้ถึงขั้นนั้นขั้นนี้ ภายในเวลาเท่านั้นเท่านี้ แต่ควรมีความเพียรปฏิบัติไปเรื่อยๆ ให้ต่อเนื่อง และถูกต้องตามวิธีของหลวงพ่อเท่านั้นเอง อย่าเอาจริงเอาจังมากเกินไปมันจะเป็นโทษ จากประสบการณ์ของดิฉันที่ได้ปฏิบัติมาแล้ว พิสูจน์ได้ว่าธรรมะแท้ย่อมรู้อย่างเดียวกัน เมื่อปฏิบัติจนถึงอารมณ์ขั้นสุดท้ายของการเจริญสติตามแนวหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ ผู้ปฏิบัติจะมีสติ-ปัญญารวดเร็วและว่องไว เมื่อความคิดเร็ว สติ-ปัญญาก็เร็วด้วย เมื่อความคิดลึก สติ-ปัญญาก็ลึกด้วย เมื่อมันประจันหน้ากันจะทำให้เกิดการแตกออกอย่างฉับพลันของสภาวะที่มีอยู่แล้วในคนทุกคน จิตใจจะกลับเข้าสู่สภาพเดิมของมัน จะรู้เองว่าจบแล้ว ไม่มีกิจใดต้องทำอีกแล้ว สิ้นสงสัยแล้ว เพราะได้พบสภาวะอาการเกิด-ดับของจิตใจ (ที่เราไม่เคยรู้จักและสัมผัสมาก่อน) มันเกิดขึ้นรวดเร็วมาก เร็วยิ่งกว่ากระแสไฟฟ้า เมื่อได้ประสบกับสภาวะนี้แล้ว การปรุงแต่งจะไม่มีอีกต่อไป ถึงที่สุดของทุกข์แล้ว อวิชชาหมดสิ้นแล้ว บุคคลนั้นจะมีเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่ไม่เป็นทุกข์ และยังคงดำเนินชีวิตต่อไปตามหน้าที่ของตนบนทางสายกลาง ด้วยใจที่เป็นอุเบกขา