vdo002original_converted.mp3

ปรับความเข้าใจในคำสอนของหลวงพ่อเทียน ๑

เรื่องที่จะพูดวันนี้ เป็นเรื่องที่มีคนมาพูดให้ฟัง มีคนมาถาม หรือบางครั้งก็มีคนเอาหนังสือมาให้อ่าน แล้วก็มาถามความเห็น ก็เลยคิดว่าจะเอาประเด็นเหล่านี้มาพูด มาอธิบาย เช่น

อันแรก มีคนถามว่า เค้าได้ยินอาจารย์สายหลวงพ่อเทียนแนะนำว่า ปฏิบัติวิธีนี้ ลืมตาก็ได้ หลับตาก็ได้ เป็นความจริงแค่ไหน เพราะว่าเขาเคยได้ยินหลวงพ่อสอนว่า ให้ลืมตา ไม่ให้หลับตา ดิฉันก็เลยบอกว่าหลวงพ่อสอนยังไงก็เชื่อหลวงพ่อเถอะ เพราะว่าไม่มีใครดีกว่าหลวงพ่ออีกแล้ว

เออ..มีคนถามว่า เค้าได้ยินอาจารย์ผู้หนึ่งให้สัมภาษณ์ เรื่องการปฏิบัติตามแนวหลวงพ่อเทียนว่าเมื่อเห็นความคิดก็เป็นนายความคิดได้ จริงหรือไม่? เรื่องนี้ดิฉันก็ขอตอบว่า การที่เห็นความคิด ก็เพราะว่าเรามีสติ รู้สึกตัว เราจึงเห็นจิตเห็นใจ ที่มันนึกมันคิดได้ ถ้าเราไม่มีสติไม่รู้สึกตัว เราจะไม่มีทางเห็นความคิดได้เลย แต่การที่แค่เห็นความคิดเท่านั้น ยังเป็นนายความคิดไม่ได้ มันยังต้องไปอีกไกล การที่เห็นความคิดหลวงพ่อเทียนบอกว่านั่นเป็นเพียงแค่ได้ต้นทางเท่านั้น ถ้าจะเป็นนายความคิดได้ ต้องทำลายการปรุงแต่งเสียก่อน ไม่เช่นนั้น มันก็ยังเป็นนายเราอยู่ เรายังเป็นนายมันไม่ได้ ถ้าเราทำลายมันได้นั่นแหละ เราจึงจะเป็นนายมันได้

อาจารย์บางคนพูดถึงผู้ดู จิตผู้รู้ จิตเป็นกลาง ดิฉันอยากจะอธิบายว่า หลวงพ่อเทียนไม่เคยสอนให้ดูจิต ท่านสอนให้ทำความรู้สึกตัว สติของหลวงพ่อเทียนหมายถึงให้มีความรู้สึกตัว แล้วจะเห็นจิตใจที่มันนึกมันคิดได้เอง ไม่มีผู้ดู ผู้ถูกดู ไม่มีการพูดถึงจิตผู้รู้ หลวงพ่อเทียนพูดเรื่องใจ ท่านบอกว่าใจมันเฉยๆ มันเป็นปกติ ท่านไม่เคยสอนเรื่องจิตเป็นกลาง หลวงพ่อสอนแต่เรื่องสติ ความรู้สึกตัว เพราะมีสติจึงเห็นความคิด ไม่มีผู้ดู ผู้ถูกดู ไม่มีจิตผู้รู้ ดิฉันเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อมา ดิฉันยังไม่เคยได้ยินหลวงพ่อสอนแบบนี้ หรือคนอื่นอาจจะได้ยินดิฉันก็ไม่ทราบ แต่หลายๆ คนที่ดิฉันคุยด้วย เค้าก็บอกว่าเค้าไม่เคยได้ยิน

เออ...อีกเรื่องหนึ่งก็คือ ได้ยินว่ามีการสอน มีการพูด เรื่องข้ามกระแสความคิด ด้วยการยกตัวอย่าง ..เหมือนกับว่า ยืนอยู่บนสะพาน แล้วยืนดูกระแสน้ำไหล ดูเรือผ่านไป ไม่ต้องไปทวนกระแสน้ำ ไม่ต้องไปพายเรือ ให้ดูเฉยๆ ก็จะข้ามกระแสความคิดได้ด้วยความรู้สึกตัว เออ..อันนี้ดิฉันก็ไม่เคยได้ยิน และก็ตามประสบการณ์การปฏิบัติของตัวเอง ก็ไม่ทราบว่าข้ามกระแสความคิดแล้วไปไหน หลวงพ่อเทียนสอนให้ทวนกระแสความคิดค่ะ เพราะว่ากว่าเราจะรู้ตัวว่าเราคิด มันก็คิดไปนานพอสมควร ถ้าเราไม่เจริญสติให้มีความรู้สึกตัว เราก็จะไม่เห็นความคิด แต่ถ้าเรามีสติที่เข้มแข็ง ว่องไว เราก็จะตัดความคิดได้ เราก็จะทวนกระแสความคิดไปได้ ถ้าเรามีสติว่องไวมากขึ้น ๆ ความคิดก็จะถูกตัดให้สั้นลงๆ นั่นคือการทวนกระแสความคิด อือ.. มันไม่ มันข้ามไม่ได้ค่ะ มันต้องทวนอย่างเดียวเลย

อาจารย์บางคนก็ยังชอบพูดเรื่อง เกิด-ดับ เกิด-ดับ บอกว่าอะไร อะไร ก็เป็นเกิด เป็นดับ บอกว่าความรู้สึกตัวนี่ เป็นเกิด เป็นดับ เป็นนาม จิตผู้รู้นี่ เปลี่ยนแปลงได้ ภาวะที่รู้เปลี่ยนแปลงได้ เพราะทุกอย่างนี่เป็นเกิด เป็นดับ เป็นเกิด เป็นดับ ความรู้สึกตัวมันเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ให้ดูจิต เห็นจิต ดูอาการของจิตที่มันคิดไปเรื่อยๆ เออ...ดิฉันก็ไม่เคยได้ยินหลวงพ่อสอนแบบนี้อีกเหมือนกัน นี่ไม่ใช่วิธีของหลวงพ่อเทียนแน่ๆ ค่ะ ไม่ใช่ความรู้ ความเข้าใจ อย่างที่หลวงพ่อเทียนสอนด้วย ว่าอะไรๆ ก็เป็นเกิด เป็นดับ หลวงพ่อพูดแต่ว่าอาการเกิด-ดับเป็นของสูง อย่าเอาของสูงมาพูดเป็นของต่ำ อย่าเอาของต่ำมาพูดเป็นของสูงเพราะว่าสภาวะอาการเกิด-ดับที่หลวงพ่อเทียนพูดมีครั้งเดียว ครั้งเดียวในชีวิต หลวงพ่อไม่พูดเกิด-ดับอย่างสมมติ หลวงพ่อจึงพูดบ่อยๆ ว่าเกิด-ดับของหลวงพ่อนี่ คือสภาวะอาการเกิด-ดับซึ่งเป็นของสูง ผู้ปฏิบัติที่ปฏิบัติตามหลวงพ่อเทียนย่อมจะเข้าใจอะไรๆ เหมือนหลวงพ่อเทียน ถึงแม้จะพูดคนละคำ แต่มันจะเข้าใจเหมือนๆกัน จะได้พบเห็นสภาวะธรรมเหมือนกัน อย่างที่หลวงพ่อพูดอยู่เสมอว่าธรรมะแท้ย่อมรู้อย่างเดียวกัน

อีกอย่างหนึ่งก็คือ เกือบ ๘๐% ที่มาหาดิฉัน ที่มาพบ มาคุยด้วย เค้าเข้าใจผิดว่าวิธีปฏิบัติของหลวงพ่อเทียนเหมือนการดูจิต แต่ถ้าใครฟังซีดี หรือฟังเทปของหลวงพ่อ และอ่านหนังสือหลวงพ่อให้ดีๆ และสังเกตให้ดีๆ ทำความเข้าใจให้ดีๆ จะพบว่าการเจริญสติแบบหลวงพ่อเทียนไม่เหมือนการดูจิตเลย รวมทั้งความหมายของสติ ก็คนละความหมาย วิธีปฏิบัติ รวมทั้งการดูความคิด ก็ต่างกัน ฉะนั้นอยากให้เข้าใจกันไว้ด้วยนะคะว่ามันไม่เหมือนกันค่ะ แต่ดิฉันไม่ได้บอกว่าของใครถูกใครผิดนะค่ะ

อย่างอาจารย์บางคนพูดว่าปัญญาเกิดจากการได้ฟัง ได้ดู ได้ประสบอาการของจิต ได้สัมผัสสิ่งเหล่านั้นแล้วจิตก็เก็บ ก็บันทึกเอาไว้ในจิตใจ อันนี้คือตัวปัญญา เมื่อมีปัญญามีภัยวิบัต อะไรเกิดขึ้นก็ให้ตั้งสติเอาไว้ แล้วสติจะขนส่งเอาปัญญามาใช้ได้ทันท่วงที ถ้าไม่มีสติเราจะใช้ความรู้ ปัญญาของเราไม่ได้เพราะว่าไม่มีสติเป็นผู้ขนส่งเอาปัญญามาใช้ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นให้รู้ด้วยสติและปล่อยวางด้วยปัญญา และยังพูดอีกด้วยว่า ให้หมั่นเจริญสติให้ดีๆ ความเจ็บไข้ได้ป่วยหรือแม้แต่โรคภัย โรคร้ายก็หายได้ เช่น ไมเกรน ความดัน หรือแม้แต่โรคมะเร็งก็สามารถรักษาให้หายได้ เฮ้อ.....ดิฉันฟังแล้วก็ไม่ทราบจะพูดยังไง เพราะหลวงพ่อเทียนของดิฉันท่านก็ป่วยด้วยโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่กระเพาะอาหาร ดิฉันก็ไม่เห็นว่าท่านจะหายจากโรคมะเร็ง ถึงแม้ว่าตอนท่านสิ้น ท่านจะป่วยเพราะโรคแทรกซ้อน เนื่องจากท่านไปโดนฝน ท่านก็เลยอาการทรุดลง แต่ว่าไม่ได้ทำให้มะเร็งของท่านหายเลยนะคะ ก่อนที่ท่านจะสิ้นก็ไม่เห็นว่ามะเร็งของท่านจะหายไป แต่ส่วนคนอื่นจะหาย มันก็มีเหตุหลายเหตุหลายปัจจัย ว่าตอนนั้นที่เป็นน่ะ เป็นมะเร็งระยะไหน ระยะที่ ๓ ที่ ๔ หรือยังไง แล้วก็สมัยนี้อาจจะยาดีกว่าสมัยเมื่อ ๒๐ ปีก่อนก็ได้ แต่ว่าอยากให้ทราบว่าการปฏิบัติธรรมไม่ใช่ปฏิบัติเพื่อรักษาโรคทางกาย แต่เป็นการรักษาโรคทางจิตใจ จิตวิญญาณ เพราะหลวงพ่อเทียนเองก็สอนว่า เรื่องเจ็บไข้ได้ป่วยทางกาย ต้องมอบให้เป็นหน้าที่ของหมอ แต่โรคทางใจเราต้องรักษาเอง

และปัญหาที่คนมาพูด มาถามบ่อยๆ ก็คือว่า ทำไมสายหลวงพ่อเทียนเหมือนกัน แต่พูดไม่เหมือนกัน สอนไม่เหมือนกัน ตั้งแต่วิธีปฏิบัติ และก็ธรรมะที่พูด บางครั้งก็ไม่เหมือนกัน .....ถ้าจะสอนการเจริญสติแบบหลวงพ่อเทียน ถ้าจะอ้างว่าเป็นอาจารย์สายหลวงพ่อเทียน สอนเจริญสติ แบบเคลื่อนไหวตามแนวหลวงพ่อเทียน เอาชื่อหลวงพ่อเทียนไปใช้ในการสอน ก็ควรจะสอนเค้าให้ปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียนเพียวๆ เอาของแท้ไป ไม่ใช่เอาไปแต่รูปแบบการยกมือ ต้องเอาของจริง ของเดิม ของหลวงพ่อไปสอนเค้า อย่าเอาไปปนกับการดูจิตหรือวิธีอื่น เพราะนั่นเป็นการประยุกต์แล้ว ไม่ใช่ของหลวงพ่อเทียนแท้ๆ เป็นการไม่เคารพหลวงพ่อเลย ถ้าใครจะศรัทธาอาจารย์ท่านใด ก็ไม่เป็นไร ถ้าจะเดินตามท่านไปเลย ก็ไม่เป็นไร แต่อย่าอ้างว่าที่พูดที่สอนอยู่น่ะเป็นวิธีเจริญสติแนวหลวงพ่อเทียน เพราะว่าจะทำให้เสียชื่อว่าแนวหลวงพ่อเทียนสอนอย่างนี้ เข้าใจธรรมะอย่างนี้ ก็ต้องขอร้องกัน

เออ...มีคนเอาหนังสือเล่มหนึ่งมาให้ดู เค้าเขียนไว้ว่า พระอาจารย์สายหลวงพ่อเทียนท่านหนึ่ง เค้าเขียนชื่อด้วยนะคะ แต่ดิฉันจะไม่พูดให้ฟัง เออ...พระอาจารย์ท่านนั้น ท่านบอกว่า การปฏิบัติวิธีนี้คือวิธีหลวงพ่อเทียนเนี่ยะนะคะ ไม่จำเป็นต้องมีการสอบอารมณ์ แล้วก็มีเหตุผลที่ท่านเขียนไว้ด้วย แต่ว่าเออ..ดิฉันจะไม่อ่านนะคะ อยากจะบอกว่าหลวงพ่อเทียนท่านให้ความสำคัญเรื่องการสอบอารมณ์ เพราะท่านไม่อยากให้ลูกศิษย์เกิดการผิดพลาดแล้วแก้ไขไม่ทันการณ์ ท่านให้ความสำคัญเรื่องนี้มาก สมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ดิฉันเห็นด้วยตาตัวเองว่า หลวงพ่อเดินสอบอารมณ์ทุกวัน แล้วถ้าใครมีปัญหาไม่ว่าจะเป็นวิปัสสนู หรือจินตญาณ ท่านก็จะให้ความสำคัญมากในเรื่องสอบอารมณ์ เพราะถ้าไม่สอบอารมณ์ก็จะไม่รู้ว่าเค้าเป็นอะไร เค้าไม่เดินมาบอกหรอกว่าตอนนี้เค้าเป็นวิปัสสนูนะ ก็เหมือนอย่างเช่น คนบ้า คนเมา เค้าก็ไม่รู้ตัวหรอกว่าเค้าบ้า หรือเค้าเมา จนกว่าเค้าจะหายแล้วนั่นแหละ เค้าถึงจะรู้ว่าเค้าเป็น ไม่ว่าหลวงพ่อจะอยู่ที่ไหน อยู่จังหวัดใด ถ้าท่านทราบว่าลูกศิษย์ได้อารมณ์ รูป-นาม ถ้าท่านทราบ ท่านก็จะสอบอารมณ์ หรือบางครั้งท่านก็จะเดินไปทักทาย ไปสอบถามว่าวันนี้เป็นยังไง รู้อะไรบ้าง นั่นก็คือ ท่านสนใจ ท่านอยากรู้ความก้าวหน้าของเค้า ซึ่งถ้าเผื่อว่าเค้าตอบท่านผิด ท่านก็จะบอกว่าทำใหม่ ทำต่อไป แต่ถ้าเผื่อว่าเค้าตอบได้คือเขาเข้าใจธรรมะ นั่นคือการสอบอารมณ์ ถ้าไม่มีอะไรก็แล้วไป ถ้ามีอะไร หลวงพ่อก็จะได้ช่วยเหลือได้ทัน เพราะฉะนั้นการสอบอารมณ์เป็นเรื่องสำคัญมาก และยิ่งถ้าเผื่อเป็นวิปลาส ยิ่งไปกันใหญ่เลย บางคนเป็นบ้าไปเลย บางคนหลวงพ่อบอกว่า เป็นวิปลาสขนาดที่ออกไปยืนกลางถนนคิดว่าให้รถชนแล้วตัวเองจะไม่เป็นไร หลวงพ่อเล่าให้ดิฉันฟังว่า เค้าคิดว่าเค้าเป็นผู้วิเศษ รถชนแล้วเค้าจะไม่เป็นไร ผลสุดท้ายเค้าก็เจ็บตัวเพราะเค้าถูกรถชนจริงๆ เพราะฉะนั้นหลวงพ่อให้ความสำคัญมาก ให้ความสำคัญมากกับลูกศิษย์ ท่านจำได้ว่า ถ้าเผื่อลูกศิษย์คนนี้ท่านได้สอบอารมณ์อยู่เสมอ ท่านก็จะจำได้เลยว่าเค้าถึงไหนแล้ว และท่านก็จะคอยดูแล คอยเตือน เพื่อไม่ให้เค้าเกิดเป็นวิปัสสนู ไม่เป็นวิปลาส ฉะนั้นขอให้ทุกคนเข้าใจไว้นะคะว่าการสอบอารมณ์โดยอาจารย์ผู้รู้ เป็นสิ่งสำคัญมาก และเป็นสิ่งจำเป็นจริงๆ

อีกเรื่องหนึ่งก็คือ ดิฉันได้เห็นในหนังสือ ซึ่งมีผู้เขียนขึ้นจากการที่เค้าศรัทธาหลวงพ่อนี่แหละ แต่บางครั้งเค้ายังไม่เข้าใจ บางครั้งเค้าก็มาย่อ บางครั้งก็เป็นการถอดเทป มาทำหนังสือบ้าง หรือบางครั้งก็มีการเขียนบ้างอะไรอย่างงี้ ดิฉันก็ยังไม่แน่ใจนะคะ แต่มันออกมาในรูปของหนังสือ

คนพูดแต่ว่ามีสติ มีความรู้สึกตัว แล้วเกิดปัญญา แต่ขั้นตอนการเกิดปัญญา และอารมณ์วิปัสสนา ไม่ค่อยมีการพูดถึง ทำไมถึงข้ามขั้นตอนไป มันไม่ง่ายอย่างงั้นหรอกค่ะ แค่ทำความรู้สึกตัวแล้วเกิดปัญญา มันต้องมีขั้นตอน อย่างนี้แสดงว่าประสบการณ์ยัง...ยังไม่...ยังไม่ใช่ค่ะ

แล้วอย่างในหนังสือบางเล่ม อันนี้เป็นที่กล่าวขานกันมากในหมู่ลูกศิษย์หลวงพ่อ โดยเฉพาะลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดท่าน มาปรึกษากัน มานั่งถามกันว่า เคยได้ยินหลวงพ่อพูดอย่างนี้มั้ย ซึ่งบางคนบอกว่ามันจะเป็นโลโก้ ของสายหลวงพ่อเทียนไปแล้ว ดิฉันได้ยินมาหลายปีแล้ว แต่ตอนนี้ก็รู้สึกว่ามันจะเผยแพร่ออกไปกว้างขวางมาก คือ เค้าเขียนไว้ว่า หลวงพ่อเทียนกล่าวสรุปการปฏิบัติไว้ง่ายๆ ว่า “ดูกายเห็นจิต ดูความคิดเห็นธรรม ดูกรรม (พฤติกรรม) เห็นนิพพาน” มีลูกศิษย์หลวงพ่อคนหนึ่งบอกดิฉันว่า “อยากรู้จังว่าผู้เขียนเอามาจากหนังสือเล่มไหน แต่ถ้าจะให้ดีเค้าอยากฟังเทป หรือซีดี ต้นฉบับ เพื่อจะได้ฟังว่าเป็นเสียงหลวงพ่อหรือเปล่า” เพราะว่าถ้าเผื่อไปลอกมาจากหนังสือ ก็อาจจะมีการแต่งเติมขึ้นมาได้ แล้วก็อาจจะเกิดความเข้าใจผิดกันมาหลายต่อแล้ว ลูกศิษย์นั้นมีทั้งพระ มีทั้งฆราวาส แล้วเป็นลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดหลวงพ่อทั้งนั้นเลย และแม่นยำในคำสอนหลวงพ่อ เช่น อาจารย์ทวีวัฒน์ อาจารย์ชูศรี และดิฉันก็ไม่เคยได้ยิน อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ต้องค้นคว้าว่ามาจากหนังสือเล่มไหน หรือมาจากเทปหรือซีดีแผ่นไหน ถ้าใครเห็น ใครมีหลักฐานยังไงช่วยส่งมาให้ดูหน่อยนะคะ

และอีกเรื่องหนึ่งก็คือ อันนี้ได้ยินตั้งแต่หลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่ ท่านบอกว่า คนมักจะเชื่อคนดัง คือคนมีชื่อเสียงนะค่ะ เออ..ผู้รู้กับคนดังเนี่ยะ อาจจะเข้าใจธรรมะหรือพูดธรรมะต่างกัน แต่ว่า ผู้อ่านผู้ฟังไม่สามารถที่จะรู้ได้ เพราะว่าบางคนก็อาจจะยังสติปัญญาน้อย ก็เลยยังแยกผู้รู้กับคนมีชื่อเสียงไม่ได้ และเค้าก็เลือกที่จะเชื่อคนที่มีชื่อเสียง เพราะเค้าคิดว่าถ้ามีชื่อเสียงแสดงว่าจะต้องเป็นผู้รู้ หรือรู้ดี มันก็น่าสงสารผู้อ่านผู้ฟังนะคะ เพราะเค้าเลือกไม่เป็น เค้าไม่รู้จะเลือกยังไง เพราะฉะนั้นใครก็ตามที่ยังไม่รู้ ยังไม่เข้าใจธรรมะขั้นสูงจริงๆ และยังไม่แน่ใจในตัวเอง ขอให้สงสารผู้อ่านผู้ฟังบ้าง เพราะการที่ทำให้เค้าเข้าใจผิด ทำให้เค้าเสียเวลา เสียแรงกาย แรงใจ มันไม่ใช่เรื่องดีเลย หลวงพ่อเทียนพูดเสมอว่า “ถ้าอาจารย์ไม่รู้ ลูกศิษย์ก็ไม่รู้ ลูกศิษย์มันจะเก่งกว่าอาจารย์ได้ยังไง” ขณะนี้ก็มีหลายคนนะที่ชอบพูด ชอบสอน ชอบเขียน ทั้งๆ ที่บางคนยังไม่ได้อารมณ์นาม-รูป ยังไม่รู้อารมณ์ปรมัตถ์ บางครั้งก็เลยพูดผิด เขียนผิด ที่น่าเป็นห่วงก็คือว่า ถึงแม้ว่าจะมีคนมองออก มองเห็นนะค่ะว่า พูดผิด เขียนผิด แต่ก็ไม่มีใครกล้าบอกกล้าเตือน เพราะว่าก็โตๆ กันแล้วนะคะ ก็ได้แต่นั่งปรับทุกข์กัน ว่าอีกไม่นาน คนที่ไม่ได้ค่อยอ่านหนังสือหลวงพ่อ ไม่ค่อยได้ฟังหลวงพ่อ ก็จะพากันเชื่อว่าสายหลวงพ่อเทียนน่ะสอนให้ปฏิบัติอย่างนี้ เพราะบางครั้งการปฏิบัติก็ถูกดัดแปลงวิธี คนอาจจะเชื่อว่า โอ้..สายหลวงพ่อเทียนเค้าปฏิบัติกันอย่างนี้ และก็รู้ธรรมะ เข้าใจธรรมะอย่างนี้ อย่างที่เค้าสอนๆ กัน ที่มันถูกบิดเบือนไปบ้างแล้ว หรือว่าสอนเพราะเข้าใจผิด ซึ่งการพูดการสอนนั้น ดิฉันได้รับฟังมาจากลูกศิษย์หลวงพ่อที่ดิฉันรู้จักหลายคนว่าเค้าเป็นห่วง เดี๋ยวนี้เริ่มพูดต่างจากหลวงพ่อเยอะ เพราะฉะนั้นการพูดผิด สอนผิดจากที่หลวงพ่อเคยพูด เคยสอน มันเป็นเรื่องที่ ผู้ฟัง ผู้ที่เดินตามเค้าเสียประโยชน์ แต่ก็มีคนฉลาดบางคนที่อาจจะมองเห็นได้ว่า ที่พูดที่สอนกันอยู่ทุกวันนี้บางคน บางอาจารย์ บางท่าน สอนต่างไปจากหลวงพ่อ แต่ก็อย่างว่าละค่ะ คนฉลาดมีน้อย เค้าก็บอกว่าสติปัญญาเค้าก็ไม่ได้มีมาก เค้าไม่รู้จริงๆว่า ใครสอนผิดใครสอนถูก ที่พูดมาเนี่ยะเป็นเรื่องที่ลูกศิษย์ใกล้ชิดหลวงพ่อเป็นกังวลอย่างมาก อึดอัดใจและก็ไม่รู้จะทำยังไง เหมือนน้ำท่วมปาก หลวงพ่อเทียนเคยพูดหลายๆ ครั้ง ถ้าคนที่อยู่ใกล้ท่านคงจะจำได้ว่าท่านบอกว่า ถ้าพูดผิดสอนกันผิดๆ มันก็จะเป็นอันตรายกับผู้ที่เค้าเดินตาม เพราะฉะนั้นถ้าใครบอกว่าเป็นอาจารย์สายหลวงพ่อเทียน สอนการเจริญสติตามแนวหลวงพ่อเทียน เค้าจะต้องยอมรับการตรวจสอบได้ ว่าสอนและก็พูดเหมือนหลวงพ่อ เข้าใจธรรมะเหมือนหลวงพ่อ ซึ่งอันนี้เช็คได้จากหนังสือ จากเทป จากซีดี จากดีวีดี เยอะแยะเลยที่เช็คได้ว่าหลวงพ่อพูดว่ายังไง สอนว่ายังไง เพราะฉะนั้นอาจารย์จะต้องยอมรับอันนี้

อืม...ตัวเองนะค่ะ ดิฉันได้ยินมา ๒-๓ ครั้งแล้วว่า มีการพูดถึงการเจริญสติวิธีนี้ว่าทำให้หายจากอาการเจ็บไข้หลายโรค เนี่ย....อันนี้เป็นสิ่งที่พูดไปแล้วข้างต้นนะค่ะว่าหลวงพ่อเป็นมะเร็ง และนี่เขาบอกว่าแม้แต่โรคร้าย เช่น มะเร็งก็หายได้ คนพูดลืมไปหรือเปล่าว่าหลวงพ่อเทียนพระอาจารย์ใหญ่สายเจริญสติแบบเคลื่อนไหว ปรมาจารย์แห่งการเจริญสติ ท่านเป็นโรคอะไร อาจารย์ทวีวัฒน์ ซึ่งถ้าคนสนใจสายหลวงพ่อเทียนคงจะเคยได้ยินชื่อ อาจารย์ทวีวัฒน์นะคะ ท่านพูดกับดิฉันว่า “การพูดอย่างนี้ เหมือนเป็นการตบหน้าหลวงพ่อเทียน” ดิฉันไม่อยากได้ยินใครพูดอย่างนี้อีก ว่าการเจริญสติแบบเคลื่อนไหวนี้ ถ้าปฏิบัติแล้วแม้แต่มะเร็งก็หายได้

และก็มีหนังสือบางเล่มนะคะที่มีคนส่งมาให้ และหลายคนก็ได้อ่านเป็นเรื่องงมงายมากๆ นึกไม่ถึงว่าจะมาเกี่ยวข้องกับสายหลวงพ่อเทียน นึกไม่ถึงเลย ไม่มีใครอยากเชื่อเลย แต่ว่ารุ่นนี้เค้าพูดกันและไม่ได้รับการทักท้วงจากอาจารย์ด้วย สายหลวงพ่อเทียนไม่เคยสอนให้งมงาย ไม่มีการสอนให้เชื่อเรื่องผี เรื่องเทวดา เรื่องพระอินทร์ พระพรหม เรื่องอะไรต่างๆ เนี่ย ที่งมงายทุกอย่าง ไม่มีเลย ไม่มีโดยสิ้นเชิง แค่ปฏิบัติแล้วรู้รูป-นาม ก็ไม่เชื่อเรื่องนี้อยู่แล้ว เพราะรูป-นามคืออารมณ์สมมติ เราจะเข้าใจเลยว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นสมมติ บางครั้งก็สมมติมาหลอกเราด้วย คนโง่ย่อมเป็นเหยื่อของคนฉลาด พอเราปฏิบัติธรรมแล้วเราไม่โง่แล้ว เพราะฉะนั้นหลวงพ่อถึงได้บอกว่า รู้สมมติให้ครบ ให้จบ ให้ถ้วน แล้วจะไม่ยึดติดในสมมติ แล้วยิ่งเรื่องงมงายนี่ยิ่งไม่มีใหญ่เลย แต่ก็ยังเห็นมีหนังสือที่พูดถึงเรื่องเหล่านี้อยู่จากผู้ที่บอกว่าเค้าปฏิบัติสายหลวงพ่อเทียน ไม่ทราบว่าครูบาอาจารย์ปล่อยให้ลูกศิษย์เป็นอย่างนี้ได้ยังไง อันนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงนะคะ

อีกเรื่องหนึ่งคือ มีคนถาม เพราะว่าเค้าบอกว่าเคยได้ยินอาจารย์สอนว่า ถ้าสมมติว่าเดินวันละ กิโล สองกิโล หรือวันละร้อยก้าว และวันรุ่งขึ้นก็เดินต่อ วันหนึ่งก็จะถึงจุดหมายปลายทางได้ คนฟังเข้าใจว่า เป็นการเดินสะสม เหมือนกับว่า ยกตัวอย่างว่า วันนี้เดิน ๑ กิโล พรุ่งนี้เดินอีก ๑ กิโล วันหนึ่งก็จะถึงที่หมายได้ หรือบางคนก็ถามว่า การที่เราเติมน้ำวันละนิดวันละหน่อยเหมือนเก็บสะสมเอาไว้ วันหนึ่งน้ำก็จะเต็มโอ่งเต็มถังใช่ไหม นี่คือวิธีปฏิบัติ นี่คือเทคนิคการเจริญสติแบบหลวงพ่อเทียนใช่ไหม ดิฉันก็ต้องอธิบายว่าการที่เดิน วันหนึ่งเดิน ๑ กิโล วันรุ่งขึ้นเดินอีก ๑ กิโล ถ้ามาเปรียบว่านั่นคือความรู้สึกตัว มันจะต้องอธิบายว่า สมมติคนไม่เคยมีความรู้สึกตัว ไม่เคยปฏิบัติเลย เออ...ได้ยินหลวงพ่อเคย เคยพูดกับผู้หญิงคนหนึ่งเค้าบอกว่าเค้าเป็นครู เค้าเดินไปทำงาน หลวงพ่อก็จะสอนให้เค้าเจริญสติ ให้มีความรู้สึกตัว หลวงพ่อบอกว่า เอ้า... สมมติว่าเดินไปวันนี้ ๑๐๐ ก้าว จากบ้านไปถึงโรงเรียน ฝึกวันแรกๆ อาจจะรู้ตัวสัก ๕ ก้าว ๑๐ ก้าว เอ้า...วันรุ่งขึ้นจาก ๕ ก้าว ๑๐ ก้าว ก็อาจจะรู้เป็น ๑๕ ก้าว ถึง ๒๐ ก้าว หลวงพ่อบอกว่า “ถ้าเดิน ๑๐๐ ก้าว ไม่รู้ตัวเลยแม้แต่ก้าวเดียวมันก็แย่ละ” เพราะฉะนั้นนั่นคือการฝึกให้มีความรู้สึกตัว ให้รู้จักความรู้สึกตัว วันแรกรู้นิดหน่อย เอ้า.. วันต่อไปก็ต้องรู้มากขึ้น นั่นคือความหมายของการฝึกให้รู้สึกตัว ส่วนที่หลวงพ่อบอกว่าให้รู้สึกตัวให้ต่อเนื่อง นั่นหมายความว่า นั่นหวังผลแล้ว หวังผลว่าถ้ารู้สึกตัวต่อเนื่อง ใจมันก็จะเป็นสมาธิ เพราะว่ามีสติอย่างต่อเนื่อง แล้วใจมันก็จะเป็นสมาธิของมันเอง เมื่อใจมันเป็นสมาธิได้แล้ว ปัญญาที่บริสุทธิ์โดยไม่มีการคิด ไม่มีการพิจารณา มันจะเกิดขึ้นเอง แล้วปัญญาชนิดนี้นี่แหละจะทำให้เราหลุดพ้นได้ นี่ นี่คือ อีกความหมายหนึ่ง

ตอนนี้ก็....คิดว่าพูดอธิบายเรื่องความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน และบางคนอาจจะเข้าใจผิดอะไรไปเยอะ ก็ขอฝากว่าถ้าแก้ไขได้ ก็ขอให้แก้ไขซะเถอะนะคะ แล้วถ้ายังไงก็ต้องขอร้องว่าให้อ่านหนังสือ ให้ฟังซีดี ฟังเทป ของหลวงพ่อมากๆ นะคะ ให้หลวงพ่อสอน แต่ถ้ามีปัญหาสงสัยอะไรถามหลวงพ่อไม่ได้แล้ว เพราะว่าท่านไม่อยู่แล้ว ก็ต้องพยายามหาครูบาอาจารย์ซึ่งจะเป็นกัลยาณมิตร เพื่อช่วยแนะนำชี้แนะ หรือช่วยเหลือในยามที่เรามีปัญหา ก็ต้องรู้จักเลือก แล้วก็จะได้ไม่เสียเวลาปฏิบัติผิดๆ เพราะว่าวิธีของหลวงพ่อเป็นวิธีที่ง่าย ถ้าเข้าใจ และก็เป็นทางลัดมากๆ จากประสบการณ์ของตัวดิฉันเอง และขอให้ทุกคนโชคดีนะคะ สวัสดีค่ะ....


อัญชลี ไทยานนท์
๑๒ มกราคม ๒๕๕๔

นิพพานหรือความหลุดพ้นเป็นที่รวมของสติ-ปัญญาของทุกคน
(หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ)