อาจารย์ผู้เดียวของข้าพเจ้า

หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ เคยบวชเป็นสามเณรเมื่ออายุได้ ๑๐ ปีเศษ ได้ฝึกปฏิบัติภาวนาหลายแบบหลายวิธีตั้งแต่การปฏิบัติภาวนาพุทโธ สัมมาอรหัง การนับ ๑, ๒, ๓ ถึง ๑๐ และนับจาก ๑๐ กลับมาถึง ๑ การปฏิบัติภาวนาแบบพองยุบ ซึ่งทั้งหมดนี้หลวงพ่อบอกว่าเป็นสมถกรรมฐานทั้งสิ้น หลวงพ่อบวชเป็นเณรอยู่ได้ประมาณ ๑ ปี ๖ เดือน แล้วก็สึกออกมาช่วยพ่อแม่ทำมาหากิน ต่อเมื่ออายุ ๒๐ ปีก็ได้บวชเป็นภิกษุอีกประมาณ ๖ เดือน และได้ปฏิบัติกรรมฐานอย่างที่เคยปฏิบัติมาแล้วอีก หลวงพ่อได้ความสงบ แต่ไม่ทำให้ความโกรธหายไป บางครั้งภาวนาแล้วก็เคลิ้มหลับไป บางครั้งก็ตัวแข็งเพราะไปเพ่งมัน หลวงพ่อเรียกความสงบชนิดนั้นว่าความสงบอย่างไม่รู้ หลังจากสึกแล้วท่านก็ยังปฏิบัติตนอยู่ในศีลในธรรม คือถือศีล ปฏิบัติธรรม ทำบุญ ให้ทานอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ทำให้หลวงพ่อเข้าใจเรื่องชีวิตจิตใจ

หลังจากแต่งงานกับนางหอมและมีบุตรชาย ๓ คน หลวงพ่อก็ยังสนใจเรื่องการปฏิบัติธรรมอยู่ตลอดเวลา เพราะช่วงเวลาที่ผ่านมาท่านได้เพียงรู้จำ รู้จักเท่านั้น ยังไม่รู้แจ้งรู้จริง เพราะไม่ใช่ความรู้ของตัวเอง มันเป็นเพียงความรู้จากตำรา หรือความรู้จากการเล่าต่อ ๆ กันมา และท่านยังมีความโกรธอยู่ ภรรยาบอกว่าถ้ามีความโกรธก็เหมือนตกนรก หลวงพ่อเก็บเอาคำพูดของภรรยามาคิด และเห็นว่าภรรยาพูดถูก หลวงพ่อจึงตัดสินใจออกจากบ้านไปเมื่ออายุ ๔๖ปีและตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะแสวงหาวิธีเอาชนะความโกรธให้ได้

หลวงพ่อได้ฝึกกรรมฐานวิธีง่ายๆ คือทำการเคลื่อนไหวให้มีสติรู้สึกตัวแผ่วๆ อย่างต่อเนื่อง กายเคลื่อนไหวก็ให้รู้สึก ความคิดเกิดขึ้นก็ให้รู้ ให้เห็นมัน ไม่ห้ามความคิด แต่ปฏิบัติโดยไม่หลับตา ไม่บริกรรมคำใดๆ ท่านปฏิบัติวิธีนี้อย่างต่อเนื่องเพียง ๒-๓ วัน ท่านก็ได้รู้ ได้เห็น ได้เข้าใจเรื่องที่ท่านแสวงหา ท่านใช้วิธีปฏิบัติแตกต่างจากคนอื่นที่ไปปฏิบัติธรรมด้วยกัน ท่านจึงรู้ เข้าใจต่างจากคนที่ปฏิบัติแบบอื่นๆ ท่านได้พบวิธีปฏิบัติที่สามารถทำลายโทสะ โมหะ โลภะ และอวิชชาได้ เมื่อรู้แจ้ง รู้จริงแล้ว หลวงพ่อสามารถรับรองความรู้ของตัวท่านได้ ไม่ต้องให้พระพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ หรือผู้ใดมารับรองความรู้นั้น เมื่อรู้แล้วก็เป็นพระได้ในบัดนั้น โดยไม่ต้องโกนหัวนุ่งเหลือง ไม่ต้องมีอุปัชฌาย์ ทั้งๆ ที่ตอนนั้นหลวงพ่อก็ยังนุ่งกางเกงขาสั้นบ้าง ขายาวบ้าง ใส่เสื้อแขนสั้นบ้าง แขนยาวบ้าง หลวงพ่อก็สามารถปฏิบัติจนรู้แจ้ง เห็นจริง จิตใจเปลี่ยนเป็นพระได้ ท่านจึงพูดเสมอว่าทุกคนสามารถปฏิบัติได้ รู้ได้เหมือนกันหมด ไม่ว่าจะเป็นผู้ชาย ผู้หญิง ผู้ใหญ่ เด็ก เชื้อชาติใดก็ปฏิบัติได้ ไม่ว่าจะเป็นคนไทย คนจีน หรือฝรั่ง ก็ปฏิบัติได้เพราะทุกคนมีกายมีใจ

เมื่อปฏิบัติจนรู้แจ้งเห็นจริง มีญาณปัญญารอบรู้แล้ว จะไม่เชื่อใครอีกเลย จะไม่สนใจว่าเรารู้ตรงกับตำราหรือไม่ ไม่ว่าใครบอกว่าเราเข้าใจผิด มันก็ผิดของท่าน แต่มันถูกของเรา เพราะเราจะเชื่อมั่นในสิ่งที่เรารู้ เราเข้าใจ และจะหยุดแสวงหาครูบาอาจารย์อีกต่อไป

งานสำคัญที่สุดที่เราควรรีบปฏิบัติในชีวิตนี้ คืองานปฏิบัติธรรมเพื่อให้รู้ เข้าใจเรื่องชีวิตจิตใจของตัวเอง จะได้มีชีวิตอยู่เหนือทุกข์ เหนือสุขและได้พบพระนิพพานก่อนจะตาย ซึ่งสำคัญกว่างานทุกชนิด เราเคยได้ยินว่า “คนเราเกิดมา ๑๐๐ ปี ถ้ายังไม่รู้จักอาการเกิด-ดับ ก็เสียชาติเกิด เพราะชีวิตนั้นเป็นหมัน สู้คนอายุแค่ ๑๐ ขวบแล้วได้พบเห็นสภาวะอาการเกิด-ดับก็ไม่ได้” การไปนั่งสมาธิแล้วเห็นตัวเลข เห็นนิมิตนั้นมันไม่ใช่ว่ามีตาทิพย์ เพราะสิ่งที่เห็นนั้นมันไม่ใช่ของจริง พอลืมตามันก็หายไป การมีหูทิพย์ ตาทิพย์ คือการรู้ การเห็นสัจจธรรม ไม่ว่าเราจะหลับตาหรือลืมตา มันก็คือของจริงเสมอ

หลวงพ่อเทียนสอนว่า ความสงบมี ๒ อย่างคือ

๑. ความสงบแบบสมถะ เป็นความสงบอย่างไม่รู้ เหมือนอยู่ในถ้ำ
๒. ความสงบแบบวิปัสสนา เป็นความสงบอย่างผู้รู้แจ้งรู้จริง

วิธีปฏิบัติที่ต่างกันจะทำให้ผลออกมาต่างกัน การเจริญสติตามวิธีของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ ไม่ต้องหลับตา ไม่มีการบริกรรมคำใดๆ ทั้งสิ้น อย่าอยู่นิ่งๆ ให้มีการเคลื่อนไหวอยู่เสมอ จะได้มีความรู้สึกตัวอย่างต่อเนื่องเหมือนลูกโซ่ กายจะเคลื่อนไหวเมื่อใดก็ให้รู้ ส่วนใจที่มันนึก มันคิดก็ให้รู้มัน เห็นมันทุกครั้ง ให้ฝึกสติ-ความรู้สึกตัวอยู่กับการเคลื่อนไหวของกายอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันก็ให้เห็นความคิด เหมือนแมวจับหนู ถ้าเจริญสติจนเชี่ยวชาญแล้วจะเห็นความคิดได้รวดเร็ว เมื่อเห็นมัน ความคิดจะหยุดลงโดยอัตโนมัติ แล้วก็เจริญสติต่อไปโดยไม่ต้องสนใจว่าความคิดจะเกิดอีกไหม ถ้ามันคิดอีกก็ให้รู้มัน เห็นมันอีก ถ้ามันไม่คิดก็แล้วไป ถ้ามันคิด ๑๐๐ ครั้งก็ให้รู้เท่า รู้ทันมันทั้ง ๑๐๐ ครั้ง จงอยู่กับความรู้สึกตัวอย่างต่อเนื่อง เมื่อมีสติสมบูรณ์เต็มที่แล้ว สมาธิจะเกิดขึ้นเอง ปฏิบัติให้เป็นสันทิฏฐิโก ปัญญาจะเกิดขึ้นในใจที่สะอาด สว่าง สงบ สิ่งที่รู้นั้นคือสัจจธรรม ความไม่รู้จะหายไป เราจะ เห็น รู้ เข้าใจสัจจธรรมในกาย ในใจเรา จะเข้าใจเรื่องชีวิตจิตใจของเรา

ขั้นแรกของการปฏิบัติ ควรทำความเข้าใจเรื่องเทคนิคของการปฏิบัติให้ถูกต้อง เพื่อป้องกันความผิดพลาด ถ้ามีครูอาจารย์แนะนำให้จะดีที่สุด ควรตั้งใจทำตามวิธีของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ ซึ่งเป็นวิธีง่ายๆ และสะดวกต่อการปฏิบัติ เพราะทำที่ไหนก็ได้ ขอให้ใช้การเคลื่อนไหวของกายเป็นฐานของการปฏิบัติ จะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอนก็ปฏิบัติได้ทุกอิริยาบถ ในการปฏิบัติธรรมควรตั้งใจจริง มีความเพียรอย่าเกียจคร้าน แต่อย่าตั้งความหวังหรือเอาจริงเอาจังมาก ให้ทำสบายๆ แต่ให้มีความต่อเนื่องเหมือนลูกโซ่ แล้วผลจะเกิดขึ้นเอง จะช้าหรือเร็ว จะได้ผลแค่ไหนขึ้นอยู่ที่ความเพียรของเรา แต่หลวงพ่อรับรองว่า ถ้าปฏิบัติตามวิธีของหลวงพ่อให้ถูกต้องและต่อเนื่อง ทุกข์จะลดลง หรืออาจหมดทุกข์ไปเลยก็ได้ ภายในเวลา ๑-๙๐ วันเป็นอย่างเร็ว หรือภายใน ๑ ปีเป็นอย่างกลาง หรือไม่เกิน ๓ ปีเป็นอย่างช้า

เราจะหลุดพ้นจากอวิชชา อาสวะ ความยึดมั่นถือมั่นได้โดยการเจริญสติเพื่อให้เกิดปัญญารู้แจ้งเห็นจริงตามความเป็นจริง สติคือสิ่งสำคัญที่สุดเพราะสติทำให้เกิดสมาธิและปัญญา ผู้ที่มีปัญญาจะมีศีลอยู่ในตัว เพราะเมื่อมีปัญญา จะเห็นธรรมชาติของจิตใจที่สะอาด สว่าง สงบ มีความปกติ ไม่มีกิเลส ตัณหา อุปาทาน ไม่มีความหลง แต่มีเวทนาที่ไม่สุข-ไม่ทุกข์ ก่อนปฏิบัติธรรมเราไม่เข้าใจเรื่องทุกข์ เพราะเราไม่รู้ว่าความทุกข์อยู่ที่ไหน อะไรบ้างที่เป็นทุกข์ บางครั้งสิ่งที่เราเข้าใจว่าเป็นความสุข ถ้ามีปัญญาจะเห็นว่ามันทุกข์ทั้งนั้น เพราะมันไม่ยั่งยืน เดี๋ยวมันก็เสื่อมไป เปลี่ยนไป การเคลื่อนไหวและการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างคือทุกข์ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเคลื่อนไหวอย่างไรมันก็คือทุกข์ เช่น การหายใจ กระพริบตา อ้าปาก เป็นการเคลื่อนไหวทางกาย ส่วนการเคลื่อนไหวของใจ คือ ความคิดซึ่งเป็นตัวทุกข์ ฉะนั้นหลวงพ่อเทียนจึงให้เรามีสติรู้การเคลื่อนไหวของทั้งกายและใจ ให้รู้จักความคิดว่ามันเป็นตัวทุกข์ ท่านให้ปฏิบัติจนกว่าจะถึงที่สุดของทุกข์ ไม่เอาทั้งทุกข์ทั้งสุข หลวงพ่อให้เจริญสติให้คล่องแคล่วว่องไวเหมือนแชมเปี้ยน จะได้เร็วทันความคิด ไปปฏิบัติธรรมเพื่อเอาชนะความคิดให้ได้ เป็นนายมันให้ได้ เช่น เราเดินจูงสุนัข เจ้าของต้องเดินนำหน้ามัน หรือเดินเคียงข้างมัน ไม่ใช่ปล่อยให้สุนัขเดินนำหน้าเรา

ครั้งแรกเราจะเข้าใจเรื่อง รูป-นาม (กาย-ใจ) รูปทำ นามทำ รูปโรค นามโรค
เข้าใจเรื่อง ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา
เข้าใจเรื่อง สมมติ เช่น ผี เทวดา นรก สวรรค์ บาป บุญ
เรื่องของสมมติมีมากมาย ปฏิบัติแล้วให้เข้าใจเรื่องสมมติให้ครบให้หมดให้ถ้วน จะได้ไม่ยึดติดสมมติ

ขั้นต่อไปจะเข้าใจอารมณ์นามรูป หลังจากฝึกดูความคิด จะเกิดปัญญารู้เป็นขั้น เป็นตอน จงปฏิบัติไปจนกว่าจะถึงที่สุดของทุกข์และได้พบนิพพานในชีวิตนี้ เพราะมันมีอยู่แล้วในคนทุกคนไม่ใช่ไปหวังว่าจะได้พบนิพพานหลังจากตายแล้ว เพราะไม่มีใครอยากตาย เมื่อพบสภาวะอาการเกิด-ดับของจิตใจแล้ว จะเข้าถึงพระนิพพานได้อย่างแน่นอน จะมีชีวิตที่ไม่ทุกข์ อยู่เหนือทุกข์เหนือสุข เรื่องอดีต เรื่องอนาคตไม่ใช่เรื่องที่ควรให้ความสนใจ เพราะไม่มีประโยชน์ ควรอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับสติ-ความรู้สึกตัว ผู้ที่เจริญสติจนอวิชชาหมดไป จะไม่มีความหลงอีกแล้ว จิตใจจะเปลี่ยนไป เหลือแต่ความเป็นพระ มีความปกติ และพรหมวิหาร ๔ โดยธรรมชาติ

การรู้ขั้นรูป-นาม ยังไม่ทำให้จิตใจเปลี่ยน หลวงพ่อเรียกการรู้ขั้นแรกว่า รอบปฐมฤกษ์ (รู้ รูป-นาม)
การรู้ เข้าใจอารมณ์นามรูป จิตใจจะเปลี่ยนตามขั้นตอนของปัญญา ดังนี้คือ
จิตใจเปลี่ยนครั้งแรก เรียกว่า ปฐมฌาน
โทสะ โมหะ โลภะ ถูกทำลายจางคลายไป
จิตใจเปลี่ยนครั้งที่สอง เรียกว่า ทุติยฌาน
กิเลส ตัณหา อุปาทาน กรรม ถูกทำลายจางคลายไป
จิตใจเปลี่ยนครั้งที่สาม เรียกว่า ตติยฌาน
ศีลปรากฏ มีความปกติในกาย-ใจ
จิตใจเปลี่ยนครั้งที่สี่ เรียกว่า จตุตถฌาน
กามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ ถูกทำลายจางคลายไป
จิตใจเปลี่ยนครั้งที่ห้า เรียกว่า ปัญจมฌาน
ขันธ์ ๕ ถูกทำลาย
ถึงที่สุดของทุกข์เมื่อพบสภาวะอาการเกิด-ดับ

ปัญญาจะเห็น รู้ เข้าใจ และแนบแน่นในอารมณ์นั้นอย่างไม่มีวันลืม เมื่อรู้แจ้งในสัจจธรรมแล้ว จะมีความมั่นใจในความรู้ ความเข้าใจของตัวเอง จะไม่ถามใครอีกแล้ว ได้พบที่พึ่งในตัวเอง ไม่ต้องพึ่งใครอีกแล้ว หยุดการแสวงหาความรู้และครู - อาจารย์ จะเข้าใจว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่ที่ไหน เป็นอย่างไร

หลวงพ่อเทียนมีความเห็นดังนี้ คือ
พระพุทธ ไม่ใช่พระพุทธรูป
พระธรรม ไม่ได้อยู่ในตู้
พระสงฆ์ ไม่ใช่คนนุ่งเหลือง
สาวกพุทธ คือผู้ปฏิบัติตาม รู้ตามพระพุทธเจ้า
การปฏิบัติธรรม เป็นของง่ายสำหรับผู้มีปัญญา แต่เป็นของยากสำหรับผู้เกียจคร้านและไม่มีปัญญา
พระอริยบุคคลพูดกับพระอริยบุคคล เข้าใจกัน รู้เรื่องกัน มนุษย์ปุถุชนพูดกับพระอริยบุคคล จะเข้าใจไม่เหมือนกัน
ความสุขของเทวดาต่างกับความสุขของมนุษย์ปุถุชน

หลวงพ่อบอกว่าสิ่งที่ท่านพูดให้ฟัง ไม่ต้องเชื่อท่านทั้งหมด ให้ลองเอาไปปฏิบัติดูว่าจะเห็น รู้ เข้าใจอย่างเดียวกันหรือไม่ และแนะนำให้ไปอ่านกาลามสูตร ๑๐ ข้อที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ด้วย