ธรรมะนั้นลึกล้ำ
และลึกซึ้งเกินกว่าความคิดจะไปถึง ต้องญาณปัญญาเท่านั้นจึงจะแทงทะลุเข้าไปถึงได้
ธรรมะไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาพูดโอ้อวดกัน
ธรรมะเป็นของสูง
เป็นเรื่องที่ต้องเห็นเอง
รู้เอง เป็นเอง มีเอง
( อัญชลี ไทยานนท์ )

ทวนกระแสความคิด
ผู้รู้แจ้งเห็นจริง
มุมมองของหลวงพ่อเทียน
สติ - ความรู้สึกตัว
อาจารย์ผู้เดียวของข้าพเจ้า
พระคุณของหลวงพ่อ
หลวงพ่อเทียนและสิ่งที่ท่านมอบให้
วิปัสสนาจารย์
ทวนกระแสความคิด
อานิสงส์ของการเจริญสติ
สมถกรรมฐานกับวิปัสสนากรรมฐาน
หนทางสู่นิพพาน
การปฏิบัติธรรมโดยไม่มีพิธีรีตอง
ต้นกำเนิดของความคิด
ทางลัดสู่การรู้แจ้ง

ผู้รู้แจ้งเห็นจริง

การเจริญสติตามแนวหลวงพ่อเทียนเป็นวิธีง่ายๆ เป็นทางลัดที่ตัดตรงไปได้เร็วมาก หลวงพ่อได้เมตตาชี้ทางสว่างและความไม่เป็นทุกข์ให้แก่เราทั้งหลายแล้ว แต่การที่จะพบความสว่างและความไม่เป็นทุกข์นั้นเราจะต้องปฏิบัติที่ตัวเอง ให้เห็นเอง รู้เอง เข้าใจเองจนได้พบและสัมผัสกับชีวิตล้วนๆ และสภาพของจิตเดิมแท้ที่ปราศจากอวิชชา

หลวงพ่อเทียนได้มอบกุญแจชีวิตให้แก่เราทุกคนแล้ว เหลือเพียงแต่เราจะนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์แก่ตัวเราเองหรือไม่เท่านั้น ในชีวิตนี้การงานใดก็ไม่สำคัญไปกว่าการปลดปล่อยตัวเองให้พ้นจากความทุกข์ พระพุทธเจ้าตรัสรู้อริยสัจจ์ ๔ ท่านจึงสอนเรื่องทุกข์ ให้รู้จักมัน ให้รู้เหตุแห่งทุกข์ ให้รู้ทางไปถึงการดับทุกข์ ให้รู้แจ้งเห็นจริง หลวงพ่อพูดเสมอว่า “คนที่ทำบุญ ให้ทาน รักษาศีล และปฏิบัติสมถกรรมฐานแต่ก็ยังมีทุกข์อยู่ ส่วนคนที่ไม่ได้ศึกษาพระไตรปิฎก ไม่ได้รักษาศีล ไม่ได้ปฏิบัติสมถกรรมฐาน แต่รู้วิธีปฏิบัติที่ถูกต้อง คือ การเจริญสติให้ต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ อย่างเร็วภายใน ๓ เดือน อย่างกลางภายใน ๑ ปี หรืออย่างช้าที่สุดภายใน ๓ ปี ความทุกข์จะลดน้อยลง ๖๐-๘๐ เปอร์เซ็นต์ หรือบางคนอาจหมดทุกข์ไปเลยก็ได้ ขึ้นอยู่กับความเพียรและสติ - ปัญญาของแต่ละคน”

หลวงพ่อเน้นเรื่องสติ - ความรู้สึกตัวเป็นอย่างมาก เพราะคนที่ไม่มีสติคือคนหลงตัว ลืมตัว ไม่เห็นจิตใจของตัวเองที่กำลังนึกกำลังคิด ปรุงแต่ง ฟุ้งซ่าน และออกจากความคิดไม่ได้จึงมีความทุกข์ เพราะเขาไม่รู้ต้นเหตุของความทุกข์ โทสะ โมหะ โลภะ; กิเลส ตัณหา อุปาทาน ทั้งหมดนี้เกิดจากการไม่มีสติ มีแต่ความหลงไปกับความคิด/อารมณ์ การขาดสติทำให้เราพลัดหลงไปกับกระแสของอารมณ์ กระแสของความคิด หลวงพ่อจึงสอนให้เราเจริญสติให้มีความรู้สึกตัว ตื่นตัว เห็นจิตใจ ตื่นใจอยู่เสมอ ให้รู้สึกการเคลื่อนไหวของกายทุกอย่าง ไม่ว่าในอิริยาบถใดก็ให้รู้ เมื่ออารมณ์ใดเกิดขึ้นในใจ หรือเมื่อจิตใจมันนึกมันคิดก็ให้รู้เท่า รู้ทัน รู้จักกัน รู้จักแก้ อย่าให้อารมณ์หรือความคิดครอบคลุมจิตใจเราได้ วิธีเดียวที่เราจะเอาชนะมันได้ คือให้มีสติ มีสมาธิ มีปัญญา ต้องรู้แจ้งเห็นจริงตามความเป็นจริง

ธรรมชาติของจิตใจนั้นมันสะอาด สว่าง สงบอยู่แล้ว มันเป็นเช่นนั้นของมันตลอดเวลา เช่นเดียวกับธรรมชาติของดวงอาทิตย์ที่มันส่องสว่างตลอดเวลาไม่เคยดับหรือมืดมัว นอกจากมีอะไรมาบังดวงอาทิตย์มันก็จะมืดมัวลงในขณะนั้น เมื่อสิ่งที่บดบังเคลื่อนไปเราก็จะเห็นแสงอาทิตย์ส่องสว่างเหมือนเดิมเพราะมันเป็นธรรมชาติของดวงอาทิตย์ จิตใจของเราก็เช่นเดียวกัน มันสะอาด สว่าง สงบ มันเป็นปกติ มันเฉยๆมันไม่ทุกข์ แต่ที่จิตใจของเรามีความสับสน กลุ้มใจ ฟุ้งซ่าน ดีใจ เสียใจ ฯลฯ ก็เพราะว่าขณะนั้นเราไม่มีสติ โมหะจึงเข้ามาแทนที่ เมื่ออายตนะภายนอกและอายตนะภายในกระทบกันแล้วเกิดการปรุงแต่ง เป็นการเริ่มต้นของทุกข์ในปฏิจจสมุปบาท เราเคยได้ยินเขาพูดกันว่า เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณเป็นทุกข์ แต่เมื่อเรามีสติ สมาธิ ปัญญา เราจะเห็น จะรู้ จะเข้าใจจิตใจที่แท้จริงว่า มันสะอาด สว่าง สงบ เราจะเห็น จะรู้ จะสัมผัสได้ในความไม่เป็นทุกข์ของใจ จะเห็น เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณที่ไม่เป็นทุกข์ เพราะสังขารขันธ์ถูกทำลาย จึงไม่มีการปรุงแต่ง อยู่ด้วยสติ สมาธิ ปัญญาที่สมบูรณ์

ถ้าเราอ่านหนังสือธรรมะแล้วไม่เข้าใจสิ่งที่พระพุทธองค์ตรัสไว้หรือสิ่งที่ท่านผู้รู้กล่าวไว้ เพราะมันล้ำลึกเกินกว่าสติปัญญาของเราจะเข้าใจได้ ก็ไม่ควรตีความธรรมะนั้นทั้งๆ ที่ตัวเองก็ไม่แน่ใจ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เพราะถ้าตีความผิดพลาดจะทำให้ผู้อื่น คือ ผู้อ่านหรือผู้ฟังก็ตามที่ยังไม่รู้ ไม่มีปัญญา เข้าใจผิดได้ ดังนั้นการตีความผิดๆ จึงอาจทำความเสียหายแก่คำสอนของพระพุทธองค์หรือของท่านผู้รู้ได้ ผู้ที่ยังไม่รู้จึงควรปฏิบัติให้เห็นเอง รู้เอง เข้าใจเอง แล้วจะมีปัญญาเข้าใจธรรมะที่ล้ำลึกนั้นได้ หลวงพ่อเทียนจึงแนะนำให้อ่านกาลามสูตรให้เข้าใจ จะได้ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ

บางครั้ง คนรู้จริง พูดของจริงให้ฟัง ก็ไม่มีใครเชื่อ แต่บางครั้ง คนไม่รู้จริง พูดให้ฟัง คนก็พากันเชื่อ เพราะผู้ฟังก็ไม่รู้ว่าอะไรจริง อะไรไม่จริง ก็หลงเชื่อกันไป การมีความเชื่อด้วยอุปาทานหรือเพราะได้ฟังเรื่องผิดๆ มาเปรียบเสมือนมีม่านดำปิดกั้นแสงสว่างไว้ หรือเปรียบเสมือนเป็นผู้มีดวงตามืดบอด มองไม่เห็นอะไร ใครพูดอะไรให้ฟังจึงเชื่อหมด เพราะไม่มีปัญญา ไม่สามารถเห็นได้ รู้ได้ด้วยตัวเอง

ธรรมะเป็นเรื่องที่ต้องเห็นเอง รู้เอง เข้าใจเอง เราไม่สามารถรู้ธรรมะจากการอ่าน การฟัง ดังนั้นผู้รู้จึงไม่พูดไม่อธิบายอะไรมากมาย เพราะมันจะไม่ช่วยหรือทำให้ใครเข้าใจได้ ธรรมะเป็นเรื่องของผู้มีปัญญาเท่านั้นที่สามารถเข้าใจเรื่องชีวิตจิตใจและกฎของธรรมชาติได้ หลวงพ่อจึงเอาแต่แก่นที่สำคัญมาสอนเราให้รู้-เข้าใจให้ถูกต้อง ธรรมเทศนาของหลวงพ่อจึงมีเรื่องเดียวหรือเรื่องเดิมๆ ไม่ว่าจะอ่านหนังสือของท่านกี่เล่มหรือฟังเทปบรรยายธรรมของท่านกี่ม้วนก็ตาม จะพบว่าท่านพูดและสอนแต่เรื่องเดิมๆ คือเรื่องสติ - ความรู้สึกตัว ให้เห็นความคิด ให้ทวนกระแสความคิดไปจนเห็นต้นกำเนิดของความคิด ไปให้ถึงที่สุดของทุกข์จนได้พบสภาวะอาการเกิด - ดับ ให้พบกับนิพพานในชีวิตนี้ก่อนจะตาย

การพบ อาการเกิด-ดับ เป็นการเข้าถึงสภาวะที่ เกิด-ดับ จริงๆ คนส่วนมากบอกว่า เกิด-ดับนั่น เขาเห็นอยู่บ่อยๆ เพราะเขาเรียกความคิดที่เกิดขึ้นแล้วว่าเกิด และเมื่อหยุดคิดว่าดับ ดังนั้นเขาจึงเห็นเกิด-ดับวันละหลายร้อยครั้ง ทั้งๆ ที่เขาไม่เคยมีสติรู้เท่ารู้ทันความคิด แล้วเขาจะเห็นตอนมันเกิดได้อย่างไร เห็นตอนมันเกิดแล้ว ต่างหาก และเมื่อมันหยุดคิด ก็เรียกเอาอย่างสมมติว่าดับ แต่ มันไม่ได้ดับจริง ถ้ามันดับจริงๆ เขาจะไม่มีความคิดปรุงแต่งอีกเลย ถ้าไม่เห็นว่ามันเกิดจริงๆ มันดับจริงๆ หลวงพ่อเทียนจะไม่เรียกมันว่าเกิด-ดับ อาการเกิด-ดับของหลวงพ่อเทียนคือ Arising-Extinguishing of The Mind

เกิด: Arising

ดับ: Extinguishing

หลวงพ่อเทียนจึงพูดว่า “อย่าเอาของสูงไปพูดเป็นของต่ำ อย่าเอาของต่ำไปพูดเป็นของสูง”

อาการเกิด - ดับของวิธีเจริญสติตามแนวหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ มีเพียงครั้งเดียวในชีวิต

ธรรมะมีอยู่แล้วในคนทุกคน เพียงแต่เรายังไม่ได้พบมันหรือยังไม่ได้ทำให้มันปรากฏให้เราเห็น รู้ เข้าใจ สัมผัสได้ เมื่อเรายังไม่ได้พบธรรมะ เราจึงมีชีวิตอยู่กับความทุกข์ ความสับสน ความสงสัย เพราะเรายังไม่เห็น ยังไม่รู้ ยังไม่เข้าใจชีวิตจิตใจของตัวเอง ไม่เข้าใจกฎของธรรมชาติ แม้ครูบาอาจารย์จะอธิบายเรื่องเหล่านี้ให้ฟังก็ไม่อาจทำให้เราเข้าใจหรือเกิดปัญญาถึงขั้นทำให้ความทุกข์ลดลงหรือหมดลงไปได้ เพราะมันไม่ใช่ความรู้แจ้ง เห็นจริงด้วยตัวเอง เราจึงมีความลังเล ความสงสัย ผู้ที่เข้าใจปรมัตถธรรม -มีญาณปัญญารอบรู้ จึงพ้นจากความทุกข์ ปล่อยวางได้ เป็นอิสระจากโทสะ โมหะ โลภะ; กิเลส ตัณหา อุปาทาน กรรม สามารถทำลายอวิชชาลงได้ด้วยญาณปัญญาที่รู้แจ้ง-เห็นจริง จะมีชีวิตที่สงบด้วยปัญญา ไม่ใช่คอยคุมหรือข่มใจให้สงบ ไม่ให้มันวอกแวกหวั่นไหว นั่นเป็นความสงบเพียงชั่วคราวเท่านั้น

เมื่อพบสภาวะอาการเกิด-ดับ และการรู้แจ้งแล้ว จะมีความสงบอยู่ด้วยสติ ปัญญา และอุเบกขา เมื่อสงบด้วยปัญญา จิตใจย่อมผ่องใส ไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใดทั้งสิ้น มีอะไรมากระทบก็ไม่กระเทือน จิตใจมีแต่ความปกติโดยไม่ต้องรักษาศีล เพราะมีศีลอยู่ในใจเราแล้ว พรหมวิหาร ๔ (เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา) จะมีเอง โดยไม่ต้องใช้ความพยายามหรือเสแสร้งให้เป็นเช่นนั้น จะเป็นเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ที่บริสุทธิ์จากใจที่สะอาด สว่าง สงบ จึงพูดได้ว่า ผู้รู้ธรรมย่อมมีมัน และ เป็นมัน คือ ท่าน มีธรรมะอยู่ในใจ และ เป็น อันหนึ่งอันเดียวกับธรรมะ

หลวงพ่อเทียนได้พูดให้เราฟัง ทำให้เราดู อยู่ให้เราเห็น ท่านสั่งสอนพวกเราอย่างผู้รู้จริง ด้วยญาณปัญญาที่ล้ำลึกและแหลมคมยิ่ง ท่านอยู่ให้เราเห็นว่าท่านมีแต่ความสงบ ความปกติ มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา แม้ในขณะที่ท่านกำลังจะหมดลมหายใจ ท่านยังมีสติ มีความรู้สึกตัว มีความปกติอยู่ตลอดเวลา หลวงพ่อตายให้เราดูด้วยความสงบอย่างสง่างาม การดับขันธ์ของหลวงพ่อยังเป็นการสอนธรรมะและสอนการเจริญสติครั้งสุดท้ายที่ยิ่งใหญ่แก่สานุศิษย์ของท่าน

มีหลายคนบอกว่าอยากอ่าน อยากฟังเรื่องอารมณ์วิปัสสนาและเรื่องธรรมะที่มีรายละเอียดชัดเจนกว่านี้

ต้องขออธิบายให้ทราบว่า ที่หลวงพ่อไม่พูดรายละเอียดให้ชัดๆ เพราะหาคำพูดตรงๆไม่ได้ ไม่รู้จะพูดอย่างไร เพราะมันเป็นอารมณ์วิปัสสนา มันเป็นญาณปัญญา มันไม่ใช่ความรู้จากการคิด พิจารณา มันเป็นการเห็น เข้าใจด้วยตาใจ ตาปัญญา ปัญญาของใครก็เป็นของคนนั้นถ้าท่านพูด คนไม่มีปัญญาก็ไม่มีทางเข้าใจ

ธรรมะมีความละเอียดและล้ำลึกเกินกว่าจะหาคำพูดมาอธิบายให้ผู้อื่นเข้าใจเหมือนอย่างที่หลวงพ่อได้รู้ ได้ห็นด้วยตัวของท่านเอง ท่านจึงให้เรารู้เอง เห็นเอง เมื่อรู้แล้วก็จะพูดกับหลวงพ่อรู้เรื่อง ถ้ารู้เหมือนกันก็จะเข้าใจกัน พูดกันรู้เรื่อง เพราะธรรมะแท้ย่อมรู้อย่างเดียวกัน

ถ้าจะพูดกับคนที่ยังไม่รู้ ยังไม่เข้าใจ ก็ต้องยกตัวอย่างให้ฟังเป็นอุปมา หลวงพ่อมักยกตัวอย่างเรื่องความหมายของขันธ์ เรื่องตายเสียก่อนตาย เรื่องมีดบาดแต่เลือดไม่ไหลออกเพราะมันย้อนกลับ เรื่องเอามือกดที่ก้นเด็กทารก เรื่องเชือกขาด เรื่องถ้าไม่รู้ตอนนี้ ก่อนจะหมดลมหายใจประมาณ ๒ - ๓ นาที ก็จะรู้ เป็นต้น

ดิฉันสังเกตว่าอุปมาของหลวงพ่อดังที่กล่าวมาข้างต้นนั้น คนได้ยินแล้วงงมากพากันตีความไปต่างๆ นาๆ เพราะไม่เข้าใจ ส่วนคนที่เข้าใจธรรมะแล้วก็จะไม่สงสัยเมื่อได้ยินหลวงพ่อยกตัวอย่างเป็นอุปมาเช่นนั้น เพราะเขาเข้าใจอุปมาของหลวงพ่อ

เหตุผลอีกข้อหนึ่งที่บางเรื่องพอจะพูดให้เข้าใจได้ แต่หลวงพ่อไม่พูด เพราะท่านต้องการเก็บไว้สอบอารมณ์ลูกศิษย์ว่าเขารู้จริง เห็นจริงหรือไม่ บางครั้งก็มีคนเอาคำพูดบางเรื่อง บางตอนที่หลวงพ่อพูด ไปอ้างว่าตัวเองรู้อย่างนั้น เป็นอย่างนี้ แต่ความจริงแล้วหลวงพ่อไม่ได้พูดทุกขั้นตอนให้ฟังทั้งหมด เมื่อท่านสอบอารมณ์ใครหรือสนทนาธรรมด้วย หลวงพ่อสามารถบอกได้ทันทีว่าใครรู้จริงหรือรู้ไม่จริง

ด้วยเหตุผลดังที่กล่าวแล้วนั้น จึงขอให้ผู้สนใจธรรมะและคำสอนของหลวงพ่อเข้าใจเหตุผลที่หลวงพ่อไม่พูดตรงๆ และชัดๆ เรื่องอารมณ์วิปัสสนา นอกจากนั้นหลวงพ่อยังพูดเสมอว่า “หลวงพ่อพูดไม่เหมือนใคร หลวงพ่อรู้ เข้าใจด้วยปัญญา ไม่ใช่ไปทำความสงบแล้วพิจารณาเอา นั่นไม่ใช่ปัญญา”

ญาณปัญญากับความคิดมันต่างกันเหมือนขาวกับดำ เหมือนฟ้ากับดิน

ธรรมะนั้นลึกล้ำและลึกซึ้งเกินกว่าความคิดจะไปถึง ต้องญาณปัญญาเท่านั้นจึงจะแทงทะลุเข้าไปถึงได้ ธรรมะไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาพูดโอ้อวดกัน ธรรรมะเป็นของสูง เป็นเรื่องที่ต้องเห็นเอง รู้เอง เป็นเอง มีเอง

เมื่อรู้แจ้ง เห็นจริงแล้ว จะหมดสิ้นความสงสัยเรื่องชีวิตจิตใจ ไม่มีอะไรจะถามใครอีก ไม่มีอะไรจะต้องทำอีก จะหยุดการแสวงหาความรู้และครูบาอาจารย์โดยสิ้นเชิง